ความเชื่อมั่นที่หายไป: วิกฤตศรัทธาต่อทนายความและนักการเมืองไทย
วิกฤตศรัทธา! คนไทยเชื่อมั่นทนายความและนักการเมืองลดลง เหตุใดทนายอาสาจึงเป็นที่พึ่ง? สำรวจผลสำรวจนิด้าโพล สะท้อนปัญหาความเหลื่อมล้ำ-โปร่งใสในวงการกฎหมายไทย หาทางออกฟื้นฟูความเชื่อมั่น
ผลสำรวจล่าสุดจากนิด้าโพลสะท้อนภาพของความเชื่อมั่นที่ลดลงในวิชาชีพทนายความและนักการเมืองในสังคมไทย โดยพบว่ามีเพียง 6.87% ของประชาชนที่ยังคงไว้วางใจทนายความที่มีชื่อเสียง ในขณะที่ความเชื่อมั่นต่อนักการเมืองต่ำสุดเพียง 1.6% ซึ่งบ่งบอกถึงปัญหาที่น่าจับตามองในด้านความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจในบุคคลทั้งสองกลุ่มนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ข้อมูลข่าวสารเผยแพร่ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้การรับรู้และความคาดหวังของประชาชนต่อบุคคลที่ปฏิบัติหน้าที่ในวิชาชีพเหล่านี้เปลี่ยนแปลงไปตามลำดับ
ปัจจัยที่กระทบต่อความน่าเชื่อถือในทนายความ
ทนายความที่มีชื่อเสียงอาจถูกมองว่ามีค่าใช้จ่ายสูงในการให้บริการทางกฎหมาย ซึ่งอาจเป็นเหตุให้ประชาชนบางส่วนรู้สึกว่าการขอความช่วยเหลือจากทนายเหล่านี้มีต้นทุนสูงจนยากที่จะเข้าถึง ทำให้การเลือกขอคำปรึกษาจากทนายอาสาหรือองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือจริง กลับกลายเป็นตัวเลือกที่ประชาชนไว้วางใจมากกว่า ตัวอย่างนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางความคิดที่สังคมให้ความสำคัญกับบริการที่เน้นจิตอาสาและการทำงานเพื่อสังคมมากขึ้น
นอกจากนี้ คดีที่มีความสำคัญทางสังคม เช่น กรณีตากใบที่หมดอายุความเมื่อไม่นานมานี้ ก็ยังเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดการตั้งคำถามต่อความโปร่งใสและประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรม การไม่สามารถนำผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมายได้นั้น ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรมภายในประเทศ แต่ยังสร้างข้อกังวลเกี่ยวกับมาตรฐานความยุติธรรมในระดับสากลอีกด้วย
ความเชื่อมั่นต่อทนายอาสาและศูนย์ดำรงธรรม
จากผลสำรวจที่แสดงให้เห็นว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของประชาชน (52.44%) เชื่อมั่นในความมีอยู่จริงของทนายอาสา และศูนย์ดำรงธรรมยังได้รับความไว้วางใจสูงถึง 42.06% ปัจจัยนี้บ่งบอกถึงความพึงพอใจที่ประชาชนมีต่อการบริการที่ไม่แสวงหาผลกำไร การให้บริการของทนายอาสาและศูนย์ดำรงธรรมที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าโดยไม่มีค่าใช้จ่ายสูง ทำให้ประชาชนเห็นว่าสามารถเข้าถึงการช่วยเหลือทางกฎหมายได้จริง
ความนิยมนี้สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการของสังคมที่อยากได้รับการช่วยเหลือจากผู้ที่ทำงานด้วยจิตอาสาและมีความตั้งใจในการช่วยเหลือสังคม ประชาชนที่หันมาใช้บริการจากทนายอาสาและศูนย์ดำรงธรรมจึงเป็นการตอบรับต่อแนวโน้มที่มองหาความจริงใจและความโปร่งใสในกระบวนการให้บริการทางกฎหมาย
ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการทางกฎหมาย
ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อการเข้าถึงบริการทางกฎหมายที่มีประสิทธิภาพ กลุ่มผู้มีรายได้น้อยมักมีข้อจำกัดในการเข้าถึงทนายความที่มีชื่อเสียง และมักต้องพึ่งพาบริการของทนายอาสาหรือศูนย์ดำรงธรรมที่มีทรัพยากรจำกัด ซึ่งทำให้การเข้าถึงความยุติธรรมของประชาชนบางส่วนยังคงมีช่องว่าง การที่คนทั่วไปหันไปใช้บริการที่ไม่แสวงหาผลกำไรสะท้อนถึงความต้องการในการเข้าถึงบริการทางกฎหมายที่เท่าเทียมและเป็นธรรมในทุกระดับของสังคม
ทางออกเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่น
เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นในระบบกฎหมายและการเมืองไทย หนึ่งในทางออกสำคัญคือการเพิ่มความโปร่งใสในการทำงานของทนายความและนักการเมือง การพัฒนามาตรฐานทางจริยธรรมและการให้บริการที่ยึดหลักการเป็นธรรมและไม่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวอาจช่วยให้สังคมไว้วางใจในวิชาชีพเหล่านี้ได้มากขึ้น อีกทั้งการส่งเสริมให้มีการให้บริการทางกฎหมายที่เข้าถึงได้สำหรับประชาชนทุกระดับ เช่น การสนับสนุนทนายอาสาและศูนย์ดำรงธรรมอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน เพื่อให้ประชาชนรู้สึกถึงความยุติธรรมและความเสมอภาคในการเข้าถึงสิทธิทางกฎหมาย
ผลสำรวจที่แสดงถึงความเชื่อมั่นที่ลดลงต่อทนายความและนักการเมืองไทยนี้ เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนของความเปลี่ยนแปลงในความคาดหวังและมุมมองของสังคมไทย ความต้องการของประชาชนในปัจจุบันมุ่งเน้นไปที่ความโปร่งใส ความจริงใจ และการให้บริการที่ไม่มุ่งหวังผลกำไร การปฏิรูปมาตรฐานการให้บริการในระบบกฎหมายและการเมืองไทยเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างเร่งด่วนเพื่อตอบสนองความคาดหวังของสังคมและเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กลับคืนมา
ข่าวแนะนำ