TNN ไม้เรียวถึงทางตัน? ถกเถียงร่างกฎหมายห้ามตีเด็ก จุดเปลี่ยนการอบรมสั่งสอน

TNN

TNN Exclusive

ไม้เรียวถึงทางตัน? ถกเถียงร่างกฎหมายห้ามตีเด็ก จุดเปลี่ยนการอบรมสั่งสอน

ไม้เรียวถึงทางตัน? ถกเถียงร่างกฎหมายห้ามตีเด็ก  จุดเปลี่ยนการอบรมสั่งสอน

จาก 'รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี' สู่กฎหมายห้ามตีเด็ก: จุดเปลี่ยนการอบรมสั่งสอนในสังคมไทย

สังคมไทยกำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนสำคัญในการอบรมสั่งสอนเด็ก จากที่เคยยึดถือคติโบราณ "รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี" มาสู่การถกเถียงเรื่องร่างกฎหมายห้ามตีเด็ก การเดินทางของร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่เพียงสะท้อนความพยายามในการคุ้มครองสิทธิเด็ก แต่ยังเผยให้เห็นถึงความขัดแย้งทางความคิดในสังคมไทยที่กำลังเปลี่ยนผ่าน


จากอดีตถึงปัจจุบัน: วิวัฒนาการของการลงโทษเด็กในสังคมไทย


จากอดีตถึงปัจจุบัน: วิวัฒนาการของการอบรมสั่งสอนเด็กในครอบครัวไทย


ในอดีต การลงโทษทางร่างกายเด็กถือเป็นเรื่องปกติในครอบครัวไทย ภาพพ่อแม่ใช้ไม้เรียวหรือมือตีลูกเป็นภาพที่พบเห็นได้ทั่วไป การลงโทษทางร่างกายถูกมองว่าเป็นวิธีการอบรมสั่งสอนที่มีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับความเชื่อที่ว่า "รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี" ซึ่งสะท้อนถึงความคิดที่ว่าการใช้ความรุนแรงเป็นการแสดงความรักและห่วงใยต่อลูก


อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป สังคมไทยเริ่มตระหนักถึงผลกระทบเชิงลบของการใช้ความรุนแรงต่อเด็ก ผู้ปกครองจำนวนมากเริ่มแสวงหาวิธีการอบรมสั่งสอนทางเลือกที่ไม่ใช้ความรุนแรง เช่น การพูดคุย ให้เหตุผล หรือใช้วิธีการลงโทษที่ไม่ทำร้ายร่างกาย แม้ว่าในทางปฏิบัติ การลงโทษทางร่างกายยังคงเกิดขึ้นในบางครอบครัว แต่ก็มีแนวโน้มลดลงอย่างเห็นได้ชัด สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของสังคมไทยต่อการเลี้ยงดูเด็ก


จุดเริ่มต้นของร่างกฎหมายห้ามตีเด็ก


ในปี 2566 เครือข่ายสิทธิเด็กได้เริ่มผลักดันการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567 เพื่อห้ามการทุบตี ทำร้ายร่างกาย และวาจาต่อเด็กในทุกรูปแบบ โดยมีเป้าหมายเพื่อปกป้องสิทธิเด็กและลดความเสี่ยงของพฤติกรรมก้าวร้าวในอนาคต


นายสรรสิทธิ์ คุมพ์ประพันธ์ อดีตกรรมการสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติ ให้เหตุผลสนับสนุนว่า "การกระทำความรุนแรงกับเด็กทำให้เด็กมีความเสี่ยงพฤติกรรมก้าวร้าว ขาดความยั้งคิด ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ มีความเครียดว่าจะถูกกระทำความรุนแรงซ้ำ รวมทั้งมีแนวโน้มเสี่ยงติดยาเสพติดและใช้ความรุนแรงในอนาคต"


การถกเถียงในสภาผู้แทนราษฎร: ความเห็นที่แตกต่าง


เมื่อร่างกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร ได้เกิดการถกเถียงอย่างกว้างขวาง สะท้อนให้เห็นถึงความเห็นที่แตกต่างในสังคมไทย


ฝ่ายสนับสนุนร่างกฎหมาย นำโดย นายณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เน้นย้ำถึงความสำคัญของการคุ้มครองสิทธิเด็กและผลเสียของการใช้ความรุนแรง โดยกล่าวว่า "กฎหมายฉบับนี้มุ่งสนับสนุนพ่อแม่ผู้ปกครองในการมีวิธีการที่เหมาะสมเพื่อทำโทษบุตร ไม่ใช่ตามที่บางคนกล่าวอ้างว่าต่อไปนี้พ่อแม่ผู้ปกครองจะลงโทษหรือกระทำใดๆ กับลูกไม่ได้"


การอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับร่างกฎหมายห้ามตีเด็กได้เผยให้เห็นถึงความขัดแย้งทางความคิดในสังคมไทย ฝ่ายคัดค้านกฎหมาย นำโดยนายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย แสดงความกังวลว่ากฎหมายอาจส่งผลกระทบต่อการอบรมสั่งสอนเด็กและอำนาจของผู้ปกครอง โดยยังคงยึดมั่นในคติโบราณ "รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี" ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อที่ว่าการใช้ความรุนแรงเป็นส่วนหนึ่งของการอบรมสั่งสอนที่จำเป็น


ประเด็นถกเถียงหลักที่เกิดขึ้นในสภาฯ ครอบคลุมหลายด้าน ทั้งความกังวลเรื่องความคลุมเครือของภาษากฎหมาย โดยเฉพาะการใช้คำว่า "ลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์" ซึ่งอาจนำไปสู่การตีความที่กว้างเกินไป นอกจากนี้ ยังมีการถกเถียงถึงผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการอบรมสั่งสอนหากมีการห้ามตีเด็กโดยสิ้นเชิง รวมถึงประเด็นความแตกต่างทางวัฒนธรรมในการเลี้ยงดูเด็กของแต่ละภูมิภาค สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการออกกฎหมายที่ต้องคำนึงถึงบริบททางสังคมและวัฒนธรรมที่หลากหลายของไทย


การถอนร่างกฎหมายและก้าวต่อไป


ท้ายที่สุด คณะกรรมาธิการได้ตัดสินใจถอนร่างกฎหมายกลับไปพิจารณาทบทวนใหม่ สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของประเด็นและความจำเป็นในการหาจุดสมดุลระหว่างการคุ้มครองสิทธิเด็กและการรักษาไว้ซึ่งวิธีการอบรมสั่งสอนที่เหมาะสม


นายณัฐวุฒิ บัวประทุม กล่าวหลังการถอนร่างว่า "เราตระหนักดีว่าอาจยังไม่สามารถสื่อสารให้เกิดความเข้าใจได้มากพอ การอภิปรายของ ส.ส.หลายคนวันนี้สะท้อนว่ายังมีความไม่เข้าใจอยู่มาก จึงเป็นการบ้านของพรรคประชาชนและของ กมธ. ที่ต้องทำงานให้หนักขึ้น"


มุมมองของผู้เชี่ยวชาญและการเปลี่ยนแปลงในระบบการศึกษา


แม้ว่าร่างกฎหมายจะถูกถอนกลับไปพิจารณาใหม่ แต่การถกเถียงที่เกิดขึ้นได้จุดประกายให้สังคมตระหนักถึงความสำคัญของการคุ้มครองสิทธิเด็กมากขึ้น


พญ.ปริชวัน จันทร์ศิริ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นว่า "การทำร้ายร่างกายเด็กจะส่งต่อปัญหาทางอารมณ์จากรุ่นสู่รุ่น ต้องแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด คือ สนับสนุนความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว เพื่อลดความเครียดต่อเด็ก"


ในด้านการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการได้ออกมาตรการเข้มงวดในการห้ามใช้ความรุนแรงในโรงเรียน โดย ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวว่า "ขอเน้นย้ำกับคุณครู ผู้บริหารโรงเรียนและเขตพื้นที่ว่า กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีแนวทางการลงโทษนักเรียนตามระเบียบ ศธ. ว่าด้วยการลงโทษนักเรียนหรือนักศึกษา พ.ศ. 2548 ซึ่งครูสามารถลงโทษผู้เรียนได้เพียง 4 วิธีเท่านั้น ได้แก่ ว่ากล่าวตักเตือน ทำทัณฑ์บน ตัดคะแนนความประพฤติ และทำกิจกรรมเพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม"


บทสรุป: ก้าวต่อไปของสังคมไทย


การถกเถียงเรื่องร่างกฎหมายห้ามตีเด็กไม่เพียงแต่เป็นการพิจารณาตัวบทกฎหมายเท่านั้น แต่ยังเป็นการตั้งคำถามต่อค่านิยมและวิธีปฏิบัติที่ฝังรากลึกในสังคมไทย แม้ว่าร่างกฎหมายจะถูกถอนกลับไปพิจารณาใหม่ แต่การถกเถียงที่เกิดขึ้นได้จุดประกายให้สังคมตระหนักถึงความสำคัญของการคุ้มครองสิทธิเด็กและการหาวิธีอบรมสั่งสอนที่เหมาะสมในยุคสมัยที่เปลี่ยนไป


การเปลี่ยนแปลงทัศนคติและพฤติกรรมของสังคมเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว โรงเรียน หรือชุมชน การสร้างความเข้าใจและตระหนักถึงผลกระทบของความรุนแรงต่อเด็ก พร้อมทั้งส่งเสริมวิธีการอบรมสั่งสอนเชิงบวก จะเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาเยาวชนไทยให้เติบโตอย่างมีคุณภาพและเป็นกำลังสำคัญของประเทศในอนาคต


แม้ว่าร่างกฎหมายห้ามตีเด็กจะถูกถอนกลับไปพิจารณาใหม่ แต่การถกเถียงที่เกิดขึ้นได้เปิดประตูสู่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในสังคมไทย สังคมเริ่มตระหนักถึงผลกระทบของความรุนแรงต่อพัฒนาการของเด็ก และเริ่มแสวงหาวิธีการอบรมสั่งสอนทางเลือกที่เน้นการใช้เหตุผลและการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี นอกจากนี้ ระบบการศึกษาก็เริ่มมีการทบทวนและปรับปรุงนโยบายการลงโทษนักเรียน โดยเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและส่งเสริมการเรียนรู้มากขึ้น


การถกเถียงเรื่องร่างกฎหมายนี้ยังได้กระตุ้นให้เกิดการพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในวงกว้างเกี่ยวกับสิทธิเด็กและวิธีการอบรมสั่งสอนที่เหมาะสม แม้ว่าร่างกฎหมายจะถูกถอนไป แต่การผลักดันให้มีการคุ้มครองสิทธิเด็กอย่างเป็นรูปธรรมยังคงดำเนินต่อไป โดยอาจมีการปรับปรุงร่างกฎหมายให้มีความชัดเจนและเหมาะสมมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างสังคมที่ปลอดภัยและเอื้อต่อการพัฒนาศักยภาพของเด็กไทยในอนาคต




ภาพ Freepik 

ข่าวแนะนำ