พลิก "ประเพณี" ? บทเรียนจากดรามา "พระเกี้ยว" บนรถกอล์ฟ
ดรามาพระเกี้ยวบนรถกอล์ฟ ในงานฟุตบอลประเพณี จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ 74 กลายเป็นประเด็นร้อนแรงที่จุดประกายการถกเถียงอย่างกว้างขวาง เกี่ยวกับความสมดุลระหว่าง "การศึกษานุรักษ์" ประเพณีอันเก่าแก่ กับ "การปรับเปลี่ยน" ให้เข้ากับยุคสมัย
งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ครั้งที่ 78 หลังเกิดกรณี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอัญเชิญพระเกี้ยว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์ของมหาวิทยาลัย บนรถกอล์ฟไฟฟ้าแทนการใช้เสลี่ยงแบบประเพณี ทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากศิษย์เก่าและบางกลุ่มถือเป็นการขาดความเคารพ แต่นิสิตปัจจุบันบางส่วนเห็นว่าเป็นวิธีที่เหมาะสมกับสภาพอากาศและยุคสมัย เหตุการณ์นี้สะท้อนความขัดแย้งระหว่างการธำรงประเพณีกับการปรับเปลี่ยนให้ทันสมัย ซึ่งต้องมีการรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายอย่างรอบด้านและหาทางออกที่ประนีประนอมได้อย่างสันติวิธี
พระเกี้ยว เป็น เครื่องประดับศีรษะของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ผู้ทรงก่อตั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และทรงพระราชทานให้เป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัย จึงถือเป็นสิ่งสูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ โดยประเพณีเดิมนิสิตจะอัญเชิญพระเกี้ยวด้วยการให้นิสิตหญิงนั่งบนเสลี่ยง มีนิสิตชายแบกไปในขบวนพาเหรด
การกระทำของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปีนี้ได้รับ การวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากศิษย์เก่า และประชาชนบางกลุ่ม โดยมองว่าเป็นการขาดความนอบน้อมและเคารพต่อพระเกี้ยว มีการประณามว่าจุฬาลงกรณ์ฯ ไม่สมควรเป็นผู้ถือครองพระเกี้ยว และควรถวายคืนแก่สถาบันพระมหากษัตริย์ บางคนกล่าวว่าหากไม่รักและภูมิใจในพระเกี้ยว ก็ไม่ควรใช้เป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัย
ในทางกลับกัน นิสิตปัจจุบันและคณาจารย์บางส่วน มองว่าการใช้ รถกอล์ฟ เป็นวิธีที่เหมาะสมในสภาพอากาศร้อน เพราะช่วยลดความเสี่ยงต่อสุขภาพของผู้เข้าร่วมขบวน และหลีกเลี่ยงการเกณฑ์แรงงานนิสิตมาแบกเสลี่ยง ซึ่งเคยมีในอดีต
มุมมองที่เห็นด้วย
นิสิตจุฬาฯ บางส่วน อธิบายว่า การใช้วิธีการอัญเชิญพระเกี้ยวบนรถกอล์ฟไฟฟ้า เป็นการปรับให้เข้ากับยุคสมัย สะดวก รวดเร็ว ประหยัดเวลา และเป็นการลดภาระของนิสิต
มองว่า ไม่ได้เป็นการลบหลู่พระเกี้ยว เพราะยังคงมีความเคารพ และรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของพระเกี้ยว
มุมมองที่ไม่เห็นด้วย
ศิษย์เก่าจุฬาฯ อาจารย์ และบุคคลทั่วไป วิพากษ์วิจารณ์ว่า การใช้วิธีการอัญเชิญพระเกี้ยวบนรถกอล์ฟไฟฟ้า เป็นการไม่เหมาะสม ไม่เคารพ และเป็นการลบหลู่พระเกี้ยว
มองว่า เป็นการละเลยประเพณี วัฒนธรรม และความศักดิ์สิทธิ์ของพระเกี้ยว
เหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนให้เห็นความขัดแย้งระหว่างมุมมองเรื่องการธำรงไว้ซึ่งประเพณีและความเคารพต่อสถาบันกับการปรับเปลี่ยนให้ทันสมัยและสอดคล้องกับสังคมปัจจุบัน ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องมีการหารือและหาทางออกที่สามารถประนีประนอมความคิดเห็นที่แตกต่างกันได้อย่างสันติวิธี
อะตอม-กล้วยไม้รีไซเคิล : สัญลักษณ์แฝงบนขบวนพาเหรด
โดยทาง CU-TU UNITY FOOTBALL MATCH 2024 ได้ชี้แจงประเด็นดังกล่าว ขอน้อมรับฟังทุกความคิดเห็น และยินดีนำไปปรับปรุงเพื่อพัฒนาต่อยอดให้ดียิ่งขึ้นในอนาคตต่อไป
สัญลักษณ์เหล่านี้ถูกขับเคลื่อนด้วยรถไฟฟ้า เปรียบเสมือนองค์ความรู้ของจุฬาฯ ที่พัฒนาวงการต่างๆ ทั้งในประเทศและระดับโลกมาอย่างยาวนาน และยังคงเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยไปข้างหน้าอย่างมั่นคง สอดรับพันธกิจของจุฬาฯ
นอกจากนี้ ยังมี "อะตอม" เป็นสัญลักษณ์ประดับขบวน สื่อถึงส่วนประกอบย่อยที่รวมกันเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ เปรียบได้กับความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของนิสิต บัณฑิต และบุคลากรจุฬาฯ ในการร่วมสร้างสถาบันเสาหลักที่ยั่งยืนแก่ประเทศ
อีกหนึ่งสัญลักษณ์คือ "พวงดอกกล้วยไม้ที่ผลิบาน" ประดิษฐ์จากดอกไม้พลาสติกรีไซเคิล สอดคล้องกับแนวคิด Unity to Sustainability พร้อมข้อความ "กล้วยไม้มีดอกช้า ฉันใด การศึกษาเป็นไปเช่นนั้น แต่ดอกออกคราวไร งามเด่น การศึกษาปลูกปั้นเสร็จแล้วแสนงาม" สื่อถึงความมุ่งมั่นของจุฬาฯ ในการสร้างบัณฑิตที่มีคุณภาพสู่สังคม
ทางคณะผู้จัดงานยินดีรับฟังข้อคิดเห็นเพื่อพัฒนาต่อยอดให้ดียิ่งขึ้นในอนาคต
นี่เป็นบทเรียนที่สำคัญจากกรณีการอัญเชิญพระเกี้ยวด้วยรถกอล์ฟไฟฟ้าในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ครั้งที่ 78 ที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนประเด็นหลักๆ ดังต่อไปนี้:
⦁ การเคารพต่อประเพณี วัฒนธรรม และสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องสำคัญ พระเกี้ยวเป็นสัญลักษณ์อันทรงคุณค่าและมีความหมายต่อจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย การปฏิบัติต่อพระเกี้ยวจึงต้องกระทำด้วยความระมัดระวังและนอบน้อม เพื่อแสดงความเคารพอย่างสูงสุด
⦁ การเปลี่ยนแปลงควรมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ แม้การใช้รถกอล์ฟจะเป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อความสะดวกและปลอดภัย แต่ควรมีการศึกษาผลกระทบและรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้านก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างความขุ่นเคืองใจต่อฝ่ายต่างๆ
⦁ การรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายเป็นสิ่งจำเป็น การตัดสินใจเปลี่ยนแปลงประเพณีสำคัญเช่นนี้ ควรมีการรับฟังความคิดเห็นจากนิสิตนักศึกษาปัจจุบัน ศิษย์เก่า และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างทั่วถึง เพื่อหาข้อสรุปที่เป็นที่ยอมรับร่วมกัน
⦁ การหาจุดร่วมและทางออกร่วมกันเป็นสิ่งสำคัญ แทนที่จะยืนกรานในจุดยืนของตนเอง ควรมีการประนีประนอมและพยายามหาทางออกที่สามารถยอมรับร่วมกันได้ ทั้งในแง่การธำรงประเพณีและการปรับเปลี่ยนไปสู่สิ่งใหม่ที่เหมาะสมกับยุคสมัย
เหตุการณ์ครั้งนี้จึงเป็นบทเรียนให้เห็นถึงความสำคัญของการหาจุดพอดีระหว่างการเคารพต่อประเพณีศิลปวัฒนธรรมกับการปรับเปลี่ยนให้ทันสมัยอย่างสันติ โดยมีการรับฟังและพิจารณาอย่างรอบด้าน เพื่อที่จะสามารถดำเนินกิจกรรมต่างๆ ไปได้อย่างราบรื่นและเป็นที่ยอมรับร่วมกัน
ข่าวแนะนำ