“ไซยาไนด์” เหยื่อตาย ฆาตกรรอด! ประวัติศาสตร์ต้องไม่ซ้ำรอย
“ไซยาไนด์” เหยื่อตาย ฆาตกรรอด! ประวัติศาสตร์ต้องไม่ซ้ำรอย
ถือเป็นเรื่องน่าตกใจไม่น้อย เมื่อตำรวจบุกเข้าจับกุมนางสรารัตน์ หรือ “แอม” อดีตภรรยาของนายตำรวจระดับรองผู้กำกับการคนหนึ่งในจังหวัดราชบุรี ในข้อหา ฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยจับกุมได้ที่ ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ภายหลังจากที่ตำรวจพบว่า นางสรารัตน์ เกี่ยวพันการเสียชีวิตของ น.ส.ศิริพร หรือ ก้อย โดยพบหลักฐานเป็น “สารไซยาไนด์” อยู่ภายในบ้าน สอดคล้องกับผลการผ่าพิสูจน์ของผู้เสียชีวิตที่พบสารชนิดนี้อยู่ในร่างกาย จึงไปร้องให้ตำรวจตรวจสอบ
การไปจับกุมนางสรารัตน์ของตำรวจ เบื้องต้น เชื่อว่า ต้องมีหลักฐานเด็ด หลักฐานสำคัญ จึงนำไปยื่นต่อศาลขออนุมัติหมายจับได้
เพียงแค่วันแรกที่นางสรรัตน์ ถูกจับกุมได้ไม่กี่ชั่วโมง มีกระแสข่าวต่างๆออกมาระบุว่า มีเหยื่อที่ถูกนางสรารัตน์ ใช้“ไซยาไนด์”จัดการถึง 6-7 ราย พอตกค่ำ ข่าวสะพัดต่อว่า เหยื่อของนางสรารัตน์มีมากถึง 10 ราย
นี่ ไม่ใช่ฆาตกรต่อเนื่อง พฤติกรรมไม่ใช่ออกมาจากจิตสำนึก แม้จะมีผู้เสียชีวิตจำนวนหลายรายก็ตาม แต่จุดมุ่งหมายของฆาตกร คือฆ่าเพื่อประสงค์ทรัพย์ จึงไม่เข้าข่ายฆาตกรต่อเนื่อง
คดีนี้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. มอบหมายให้ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. ลงไปไขคดี
เบื้องต้น ผบ.ตร.บอกว่า ให้ขยายผลจากการเสียชีวิตของน้องก้อย ไปยังอีกหลายคดี เพราะเชื่อว่าเกี่ยวพันกับคดีเดิม มีแผนประทุษกรรมแบบเดิม และเชื่อว่า มาจากน้ำมือของผู้ต้องหาคนเดียวกัน!
ขณะที่พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยอมรับว่า จากน้ำมือของนางสรารัตน์ อาจมีผู้เสียชีวิต รวม 9 ราย ใน 5 จังหวัด ซึ่งเดิมญาติของผู้เสียชีวิตเข้าใจว่า เสียชีวิตเอง กระทั่งทราบข่าวการเสียชีวิตของน้องก้อย จึงเกิดความสงสัย และเข้าร้องเรียนมายังตน
“บิ๊กโจ๊ก”บอกว่า ไล่คดีดูแล้ว พบว่ามีทั้งหมด 7 คดี ซึ่งสามารถติดต่อพ่อแม่ผู้เสียชีวิตได้ 5 ราย บางราย พ่อแม่นึกว่า ลูกเขาตายเอง ไม่ทราบว่าถูกวางยา จึงไม่ได้แจ้งความ วันนี้ จะต้องทำความจริงให้ปรากฏ !
รองผบ.ตร.บอกว่า ได้เรียกตำรวจ กาญจนบุรี นครปฐม ราชบุรี ไปไล่หาพยานหลัก แต่ไม่มั่นใจว่า จะหลงเหลือหลักฐานอะไรอยู่บ้าง ซึ่งในระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตในลักษณะเดียวกันกับน้องก้อยถึง 7 ศพ ในจำนวนนั้น เป็นตำรวจถึง 2 ศพ ที่เหลือก็ล้วนอยู่ใกล้ชิดแวดวงตำรวจทั้งสิ้น
ย้อยกลับไปเมื่อปี 2555 มีฎีกาคำพิพากษาให้ยกฟ้อง อดีตผู้ช่วยพยาบาล ที่วางยาฆ่า “เหยื่อ” ซึ่งเป็นสามีวัย 31 ปี โดยการวางยาไซยาไนด์ ใส่ในเครื่องดื่มให้ดื่ม และเหยื่อ ขับรถออกไปจนเกิดการง่วงซึม สุดท้ายเกิดอุบัติเหตุ รถพลิกคว่ำ แต่ไม่ตาย หลังกลับมารักษาตัวต่อที่บ้านแล้ว ฆาตกรยังวางยาไซยาไนด์ใส่อย่างต่อเนื่อง จนเหยื่อเสียชีวิตในที่สุด โดยมีจุดประสงค์เพื่อหวังเงินประกันชีวิตของสามี
คดีนี้ ตำรวจ-อัยการฟ้องผู้ต้องหาในข้อหา “ฆ่า และพยายามฆ่า ผู้อื่นเพื่อหวังเงินประกันโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เคลื่อนย้ายทำลายศพเพื่อปิดบังการตาย แจ้งความเท็จ ปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม ฉ้อโกง มีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภท 2 และ 4 ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย”
ศาลชั้นต้น ศาลอุธรณ์ และศาลฎีกา พิพากษา “ยกฟ้อง” อดีตผู้ช่วยพยาบาลคนดังกล่าวในข้อหา “ฆ่า และพยายามฆ่า” โดยให้เหตุผลว่า เนื่องจากพยานหลักฐานไม่ชัดเจนเพียงพอว่า ผู้ตายรับสาร “ไซยาไนด์” เพราะผู้ตายได้รับอุบัติเหตุกระทบกระเทือนทางสมองอย่างรุนแรง อาจเสียชีวิตเพราะโรคแทรกซ้อนก็ได้ ในชั้นพิจารณา โจทก์ไม่มีพยานมานำสืบให้เชื่อได้อย่างแน่ชัดว่า ผู้ตายเสียชีวิตลงจากวัตถุออกฤทธิ์ พิพากษายืน “ยกฟ้อง” ส่วนคดีเอกสารให้จำคุกไปตามโทษานุโทษ
เมื่อมองย้อนกลับมาถึงคดีของน้องก้อย โลกปัจจุปันเปลี่ยนไปมาก การทำคดีของตำรวจรัดกุม ยิ่งขึ้น หากข้อเท็จจริงไม่ปรากฏ พยานหลักฐานไม่ชัดเจน เชื่อว่า ไม่มีตำรวจหน้าไหน กล้าไปขออนุมัติหมายจับจากศาล เหมือนที่ได้นำหมายจับ ไปจับกุมนางสรารัตน์ในครั้งนี้
แต่ก็นั่นแหละ อดีตที่ผ่านมา มีบทเรียนมาแล้ว ผู้ช่วยพยาบาล วางไซยาไนด์ใส่ผัวจนเสียชีวิต ศาลยังยกฟ้อง เพราะพยานหลักฐานไม่ชัดแจ้ง จำต้องยกประโยชนให้จำเลย
ที่ต้องยกคำพิพากษาของศาลฎีกาขึ้นมานั้น หวังเพียงว่า คดีนี้ ฆาตกรจะไม่ลอยนวล เหมือนในอดีต ประวัติศาสตร์จะไม่ซำรอยเหมือนในคำพิพากษา
อย่างน้อย นามสกุลของคนคุมคดีก็เชื่อว่าการันตีได้
“หักพาล”
คนพาล และเหล่าคนร้ายจะอยู่ได้อย่างไร?
จารบุรุษ