ทำความรู้จัก โนโรไวรัส (Norovirus) วัคซีนสามารถช่วยเราได้หรือไม่ ?
ทำความรู้จัก ไวรัสโนโรไวรัส ภัยเงียบคุกคามสุขภาพ อาการเป็นอย่างไร วัคซีนสามารถช่วยเราได้หรือไม่?
ระยะเวลาที่ผ่านมา มีการระบาดของไวรัสโนโรไวรัส (Norovirus) อย่างต่อเนื่องทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีการรวมกลุ่มของผู้คนจำนวนมาก ทำให้เป็นเรื่องยากต่อการควบคุมโรค และเมื่อพูดถึงการอยู่รอดของไวรัสนี้ในสิ่งแวดล้อม มีเชื้อโรคเพียงไม่กี่ชนิด ที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อม กว่าโนโรไวรัส
โดยปัจจุบันเชื้อโรคนี้กำลังแพร่กระจายอย่างรวดเร็วอีกครั้งทั่วสหรัฐอเมริกา โดยมีการระบาดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี 2024 ตามมาด้วยการเพิ่มขึ้นอย่างมากของไวรัสในฤดูหนาวก่อนหน้า ซึ่งจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่เดือนตุลาคม 2023 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา และสำหรับสถานะการณ์ ในไทยพบการติดเชื้อโนโรไวรัส จำนวน 2 ราย เท่านั้น และปัจจุบันสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว
โนโรไวรัส (Norovirus) คืออะไร?
โนโรไวรัส (Norovirus) เป็นไวรัสที่ก่อให้เกิดการอักเสบของระบบทางเดินอาหาร ทำให้ผู้ป่วยมีอาการท้องเสีย อาเจียน คลื่นไส้ และปวดท้องอย่างรุนแรง อาการมักจะหายไปเองภายใน 1-3 วัน แต่ในบางรายอาจมีอาการรุนแรงและต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ซึ่งในประชากรโลกมีผู้ติดเชื้อประมาณ 685 ล้านคนทุกปี โดยมักพบในโรงพยาบาล บ้านพักคนชรา คุก โรงเรียน และเรือสำราญ
โนโรไวรัส (Norovirus) น่ากลัวอย่างไร?
- ไวรัสตัวนี้สามารถติดต่อได้ง่ายและทนทานต่อสภาพแวดล้อม โดยปัจจัยที่เสี่ยงต่อการติดเชื่อมาจาก การสัมผัสกับผู้ป่วยโดยตรง การบริโภคอาหารหรือน้ำดื่มที่อาจมีการปนเปื้อน การอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาด และไวรัสสามารถอยู่รอดได้นานบนพื้นผิวต่าง ๆ ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพอากาศที่ร้อนหรือเย็น รวมถึงกลายพันธุ์เร็วอีกด้วย และเนื่องจากไวรัสมีการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมอยู่เสมอ ทำให้วัคซีนที่พัฒนาขึ้น อาจไม่ได้ผลกับสายพันธุ์ใหม่
- ข้อมูลจากบทสัมภาษณ์ของ แพทริเซีย ฟอสเตอร์ (Patricia Foster) ศาสตราจารย์ด้านชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยอินเดียนา บลูมิงตัน (Indiana University Bloomington) กล่าวว่า ไวรัสนี้สามารถอยู่รอดภายในอาหารที่มีอุณหภูมิสูงถึง 70 องศาเซลเซียส และสามารถทนความร้อน ความเย็นจัด ความแห้งแล้ง และยังคงอยู่บนพื้นผิวได้หลายวัน เพราะความทนทานส่วนใหญ่ เกิดจากพื้นผิวของไวรัสปกป้องวัสดุทางพันธุกรรมภายในได้
- เธอยังกล่าวอีกว่า ในขณะที่ไวรัสชนิดอื่นจำนวนมาก จะมีเปลือกหุ้มเยื่อหุ้มเซลล์ ขณะเคลื่อนที่จากเซลล์หนึ่งไปยังอีกเซลล์หนึ่ง เพื่อช่วยในการแพร่กระจายภายในร่างกาย และจะเสื่อมกำลังจากแอลกอฮอล์ หรือน้ำยาทำความสะอาด แต่ไวรัสนี้ต่างกันออกไป เจลล้างมือไม่สามารถฆ่าโนโรไวรัสได้ รวมถึงมันยังคงสามารถเคลื่อนที่จากเซลล์หนึ่งไปยังอีกเซลล์หนึ่งได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามแม้ว่าโนโรไวรัสจะไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นทำให้ผู้ติดเชื้อเสียชีวิต แต่ก็ยังสามารถถึงแก่ชีวิตได้ หากเป็นผู้ป่วย เป็นผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยงเด็ก หรือผู้สูงอายุ ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจากไวรัสนี้ประมาณ 200,000 รายต่อปี และมีรายงานผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในสหรัฐอเมริกาถึง 70,000 ราย ดังนั้น นักไวรัสวิทยาจึงพยายามใช้ความรู้ที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับไวรัสนี้ ช่วยออกแบบวัคซีนที่มีความสามารถป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตอบคำถามที่หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้ววัคซีนจะสามารถช่วยเราได้ไหม?
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนที่ได้รับการอนุมัติสำหรับไวรัสโนโรไวรัสโดยเฉพาะ แม้ว่า บริษัท โมเดอร์น่า (Moderna) จะเริ่มการทดลองระยะที่สามในสหรัฐอเมริกาสำหรับวัคซีนโดยใช้เทคโนโลยี mRNA และมีเป้าหมายที่จะทดสอบในผู้ใหญ่ 25,000 คนทั่วโลก ดังนั้นในตอนนี้เราสามารถที่จะป้องกันตัวเองได้โดย ด้วยการดูแลใส่ใจเรื่องความสะอาด ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันการติดเชื้อโนโรไวรัส ได้ เช่นการกินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ อย่างที่เราทราบกันนี่เอง
และถึงแม้ว่าไวรัสโนโรไวรัสจะเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญ แต่ด้วยความพยายามในการวิจัยและพัฒนาวัคซีน เชื่อว่าในอนาคต เราอาจจะสามารถควบคุมโรคนี้ได้ดีขึ้นเช่นกัน
แหล่งที่มา: BBC, CEPI, Fox News, Bangkok Hospital
ข่าวแนะนำ