ญี่ปุ่นพัฒนาหุ่นยนต์มูซาชิ เป้าหมายขับรถให้มนุษย์ในอนาคต

หนึ่งในเทคโนโลยีด้านคมนาคมที่เราได้ยินกันบ่อยมาก ๆ คือ รถยนต์ไร้คนขับ ที่มีหลายบริษัทกำลังพัฒนา แต่นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น กำลังนำเสนอแนวทางใหม่ นั่นคือการพัฒนาหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่สามารถขับรถยนต์ให้กับมนุษย์ได้

หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ขับรถนี้ชื่อ มูซาชิ (Musashi) ได้รับการพัฒนามาตั้งแต่ปี 2019 ออกแบบมาเพื่อเลียนแบบร่างกายของมนุษย์ให้เหมือนที่สุด ทั้งสัดส่วนและกลไก โดยมีกล้ามเนื้อ 74 มัด มีข้อต่อ 39 ชิ้น (ไม่รวมข้อมือ) และมีกระดูก กล้ามเนื้อสร้างขึ้นมาเส้นใยไดนีมา (Dyneema) ซึ่งเป็นเส้นใยโพลีเอทิลีนประสิทธิภาพสูง ทนต่อการเสียดสี โดยกล้ามเนื้อของมูซาชิ ถูกจัดเรียงรอบ ๆ ข้อต่อ ซึ่งส่วนประกอบแต่ละส่วนของหุ่นยนต์จะมีเซ็นเซอร์ในตัว ทำให้ทำงานได้อย่างดี เช่น แขนและขาของหุ่นยนต์จะติดตั้งเซ็นเซอร์ขั้นสูงสำหรับการวัดแรงและความยืดหยุ่น 

นอกจากนี้ มูซาชิมีดวงตาที่ขยับได้ มีกล้องมองภาพความละเอียดสูง ที่สามารถแพนและเอียงเพื่อจับภาพมุมมองต่าง ๆ ตั้งแต่ตรงไปข้างหน้าไปจนถึงการตรวจสอบกระจกมองข้างอย่างรวดเร็ว รวมถึงยังมีระบบจดจำมนุษย์ด้วย ดังนั้น หากมองไปยังกระจกมองข้างแล้วเจอมนุษย์ ก็สามารถตอบสนองได้อย่างถูกต้องได้

ยิ่งไปกว่านั้น ฮิวแมนนอยด์ตัวนี้ยังมีซอฟแวร์การเรียนรู้ (Learning Software) และเซ็นเซอร์ข้อมูล ทำให้เท้าสามารถควบคุมเบรกและคันเร่งได้ ส่วนมือสามารถบังคับเบรกมือ หมุนกุญแจเพื่อทำการสตาร์ตรถ และสามารถเปิดสัญญาณไฟเลี้ยว รวมถึงหมุนพวงมาลัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ ได้มีการทดสอบให้ขับรถ โดยใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าโตโยตา คอมส์ (Toyota COMS) หุ่นยนต์มูซาชิสามารถขับรถเลี้ยวได้ด้วยความเร็วปานกลางเป็นเวลา 2 นาที ด้วยการปล่อยแป้นเบรกและไม่ต้องใช้คันเร่ง เมื่อถึงทางแยก ก็สามารถปฏิบัติตามกฎจราจรได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ ยังมีการทดลองอื่น ๆ ที่แสดงให้เห็นว่ามูซาชิได้ลองใช้คันเร่ง แต่ก็พยายามรักษาความเร็วให้สม่ำเสมอ และขณะที่พยายามขับขึ้นเนินเขา นอกจากการขับขี่แล้ว มูซาชิยังได้รับการทดสอบเพื่อตรวจจับและตอบสนองต่อวัตถุที่ขวางทาง รวมถึงมนุษย์ด้วย

อย่างไรก็ตาม ด้วยโครงสร้างที่คล้ายมนุษย์ หุ่นยนต์มูซาชิจึงเหมาะสำหรับใช้เป็นหุ่นทดสอบการชนแบบสมจริงได้ด้วย ซึ่งปัจจุบันมูซาชิยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษา นักวิจัยตั้งเป้าที่จะสร้างหุ่นยนต์มูซาชิในเวอร์ชันที่มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นในอนาคต 

ที่มาข้อมูล InterestingEngineering, Arxiv

ที่มารูปภาพ Arvix