TNN ประเทศนอร์เวย์ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านการใช้งานรถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้อย่างไร ?

TNN

Tech

ประเทศนอร์เวย์ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านการใช้งานรถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้อย่างไร ?

ประเทศนอร์เวย์ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านการใช้งานรถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้อย่างไร ?

รถยนต์ที่ซื้อใหม่ 9 ใน 10 คัน ของประเทศนอร์เวย์จะเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าและมีสัดส่วนการเติบโตเพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปี

ประเทศนอร์เวย์ประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวียตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทวีปยุโรปกลายเป็นประเทศผู้นำในด้านของสัดส่วนการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าของโลก โดยข้อมูลจากสหพันธ์ถนนแห่งนอร์เวย์ (OFV) ในปี 2023 พบว่ารถยนต์ที่ซื้อใหม่ 9 ใน 10 คัน ของประเทศนอร์เวย์จะเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าและไฮบริดมีสัดส่วนการเติบโตเพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปี โดยรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามีสัดส่วนประมาณ 20% ของรถยนต์ในประเทศนอร์เวย์ทั้งหมด


รถยนต์พลังงานไฟฟ้าไม่ใช่สิ่งใหม่ในประเทศนอร์เวย์ หากย้อนไปในยุค 90 รถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้ถูกพัฒนาขึ้นในประเทศและถูกใช้งานมาระยะหนึ่งแล้วโดยแบรนด์รถยนต์พลังงานไฟฟ้าธิง (Think) เป็นผู้บุกเบิกตลาดก่อนจะมีแบรนด์รถยนต์ค่ายใหญ่ ๆ จากต่างประเทศ เช่น ฟอร์ด มอเตอร์ (Ford Motor) เข้ามาทำการตลาด ภายใต้การสนับสนุนอย่างจริงจังจากรัฐบาล 


จุดเปลี่ยนสำคัญเริ่มต้นขึ้นในช่วงปี 2012-2013 เมื่อบริษัท เทสลา (Tesla) ผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารายใหญ่จากสหรัฐอเมริกาเริ่มเข้ามาทำการตลาดในประเทศนอร์เวย์ โดยเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่น Tesla Model S และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วด้วยจุดเด่นที่สามารถวิ่งได้ระยะทางไกลกว่า 426 กิโลเมตร ต่อการชาร์จพลังงานไฟฟ้า 1 ครั้ง และเร่งความเร็วสูงสุดถึง 209 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตอบโจทย์การใช้งานที่ต้องเดินทางไกลในภูมิประเทศที่ราบสลับแนวเทือกเขาของประเทศนอร์เวย์


หัวใจสำคัญที่ทำให้ประเทศนอร์เวย์ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของยุโรปและในระดับโลกอยู่ที่การสนับสนุนจากรัฐบาล เช่น สิทธิพิเศษขึ้นทางด่วนฟรี ที่จอดรถยนต์ฟรีและบริการเรือข้ามฟากฟรีภายในประเทศ การยกเว้นภาษีสำหรับรถใหม่ที่เป็นพลังงานไฟฟ้า (EV) แต่เก็บภาษีเพิ่มสำหรับรถยนต์สันดาป และกฎหมายอื่น ๆ ที่เอื้อต่อการใช้งานรถยนต์พลังงานไฟฟ้า รวมไปถึงนโยบายที่ชัดเจนในการหยุดจำหน่ายรถยนต์พลังงานน้ำมันเบนซินภายใน 2 ปี โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนใช้เทคโนโลยีพลังงานสะอาดเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดภาวะโลกร้อนที่มีสาเหตุสำคัญจากมลพิษที่ปล่อยจากรถยนต์ 


การสนับสนุนจากองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร เช่น สมาคมรถยนต์พลังงานไฟฟ้านอร์เวย์ (Norwegian EV Association) ที่สนับสนุนให้ผู้คนหันมาใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าโดยมีสมาชิกมากกว่า 120,000 คน ความร่วมมือดังกล่าวส่งผลให้ประเทศนอร์เวย์มีเครือข่ายชาร์จรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่แข็งแกร่ง โดยมีจำนวนเครื่องชาร์จรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 1 เครื่อง ต่อรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 คัน เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วประเทศและมีจำนวนมากเป็นอันดับ 3 ของยุโรป เป็นรองประเทศเยอรมนีและอังกฤษ ทั้งที่ประเทศนอร์เวย์มีประชากรน้อยกว่าทั้ง 2 ประเทศ ประมาณ 10 เท่า 


เมื่อโครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จรถยนต์พลังงานไฟฟ้าพร้อมสิ่งที่ตามมา คือ ระบบการชำระเงินค่าบริการที่รวดเร็วและสะดวกสบาย รองรับการชำระเงินหลายรูปแบบ อย่างไรก็ตามการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตยังคงเป็นปัญหาสำหรับผู้ใช้งาน รัฐบาลประเทศนอร์เวย์จึงกำหนดให้ตั้งแต่ปี 2023 สถานีชาร์จรถยนต์พลังงานไฟฟ้าจะต้องรองรับการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตเพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ใช้งานรถยนต์พลังงานไฟฟ้า


สำหรับประเทศอื่น ๆ ในยุโรปแม้ว่าจะมีความตื่นตัวและใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นแต่อาจต้องใช้ระยะเวลาจนถึงปี 2040 จึงจะเห็นความเปลี่ยนแปลงสำคัญในยุโรป โดยมีข้อจำกัดสำคัญที่ทำให้จำนวนผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าในยุโรปเติบโตค่อนข้างช้า เช่น ราคารถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่สูงกว่ารถยนต์สันดาป อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามือสอง มีโอกาสขยายตัวสูง ซึ่งอาจจะสามารถดึงดูดให้ผู้คนหันมาสนใจใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น


ความสำเร็จของจำนวนผู้ใช้งานรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศนอร์เวย์กลายเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ หากประเทศอื่น ๆ ต้องการให้ประชาชนหันมาใช้เทคโนโลยีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเพราะในประเทศที่มีปัญหาสิ่งแวดล้อม เครือข่ายการขนส่งไม่ได้มาตรฐาน การจราจรรถติดบนถนนเป็นเวลานานและปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่มีสาเหตุสำคัญมาจากรถยนต์บนถนนทั่วไป


ที่มาของข้อมูล Euronews  

ที่มาของรูปภาพ Pixabay

ข่าวแนะนำ