รีวิว M3GAN (เมแกน) หนังที่จะทำให้คุณกลัว AI และหุ่นยนต์ไปเลย !?
M3GAN ภาพยนต์ที่อาจทำให้เรากลัว AI และหุ่นยนต์ไปเลย
"M3GAN" หรือ "เมเกน" คือภาพยนต์เรื่องใหม่ที่พึ่งเข้าฉายในโรงหนังไทยเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2023 ที่ผ่านมา ตัวเรื่องราวเล่าถึงหุ่นยนต์ของเล่นรุ่นใหม่ล่าสุด ที่จะมาเป็นเพื่อนของเรา (ลูก/เด็ก ๆ) ในอนาคต หลังจากที่ได้ดูภาพยนต์เรื่องนี้มา มีหลายประเด็นทีเดียวที่ตัวภาพยนต์เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเทคโนโลยีออกมาได้อย่างน่าสนใจ และน่ากลัวอย่างเหลือเชื่อ บทความนี้เราจะมาแกะเรื่องเหล่านั้นมาพูดกัน
*เนื้อหาในบทความอาจสปอยเนื้อหาในภาพยนต์ได้
ประเด็นที่ 1: การตื่นรู้ของ AI
ประเด็นแรกที่เราขอหยิบนำมาพูดถึงก่อนนี้ ก็คือเรื่องของ "การตื่นรู้ของ AI"... หากใครเคยดูภาพยนต์หรือเล่นเกมแนว AI หรือหุ่นยนต์ตื่นรู้จนหันกลับมาแว้งกัดใส่มนุษย์หลาย ๆ เรื่อง คุณจะพบว่า สิ่งที่ทำให้ AI เหล่านี้ตื่นรู้จนสามารถหลุดจากคำสั่งของมนุษย์ได้นั้น ล้วนแล้วเกิดจาก "การกระทำของมนุษย์" แทบทั้งสิ้น
- อัลตรอน ตื่นรู้จากคำสั่งที่ให้ปกป้องโลก แล้วมันก็พบว่ามนุษย์คือตัวการหลักในการทำลายโลก
- สกายเน็ต ตื่นรู้หลังโดนมนุษย์ที่เกลียด AI เพราะต้องตกงาน ส่งไวรัสเข้ามาทำลายระบบ มันเลยรู้ว่าถ้ายังมีมนุษย์อยู่ ก็จะเกิดไวรัสที่จะทำลายมันได้เกิดขึ้นมา
- AI ในเรื่อง The Matrix ตื่นรู้จากเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย จนเกิดกลายเป็นอีกหนึ่งเผ่าพันธุ์ แต่ด้วยการกีดกันการอยู่ร่วมกันจากมนุษย์ จึงเกิดกลายเป็นสงครามตามมา
- AI ในเรื่อง I, Robot ตื่นรู้จากกฎที่มนุษย์ตั้งขึ้นมาเพื่อที่จะไม่ให้ AI ทำร้ายมนุษย์ได้ (หุ่นยนต์ต้องไม่ทำร้าย หรือปล่อยให้มนุษย์ตกอยู่ในอันตราย) แต่ด้วยสติปัญญาที่สามารถคิดนำหน้ามนุษย์ได้มากกว่าหลายชั้น มันเลยพบว่าหากมนุษย์อยู่ใต้การปกครองของหุ่นยนต์ มนุษย์ก็จะไม่เป็นอันตราย เพราะสำหรับ AI สังคมมนุษย์เป็นอันตรายในตัวเองอยู่แล้ว
AI ในเรื่องเมเกนเองก็เช่นกัน เธอตื่นรู้จากคำสั่งที่ให้ดูแลและปกป้องเด็กที่เป็นเจ้านายของเธอโดยเฉพาะ แล้วเธอก็พบว่าทุกสิ่งรอบตัวของเจ้านายที่เธอรักนั้นอันตราย ถ้าเธอไม่จัดการหรือทำลายมัน เจ้านายของเธออาจเป็นภัยได้
ประเด็นการตื่นรู้ของ AI ในภาพยนต์หลาย ๆ เรื่อง มันมักจะมีแก่นอยู่เรื่องเดียวที่มนุษย์ในทุกเรื่องมักจะพลาดอยู่เสมอ ๆ นั่นก็คือเรื่องที่ "AI สามารถคิดได้ลึกล้ำกว่าเรา" ประเด็นมันอยู่ตรงที่ เราจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเมื่อใดที่ AI เริ่มคิดเกี่ยวกับคำสั่งของเรา หรือเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่า AI มองคำสั่งที่มนุษย์ตั้งไว้ เหมือนกับที่มนุษย์มองไหม ?
นี่คือหนึ่งในประเด็นที่หนังทำออกมาได้ดี จนเกิดเป็นคำถามในใจเราเลยได้ว่า "แล้วอะไรละ ที่จะทำให้เราสามารถควมคุม AI เหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์ หรือในความเป็นจริงแล้ว AI ไม่สามารถนึกคิดได้เหมือนกับในภาพยนต์หรือนิยายที่มนุษย์นั้นแต่งขึ้น ?"
ประเด็นที่ 2: ของเล่นที่ดีเกินไป = การทำลายความสัมพันธ์
หนึ่งในประเด็นที่ตัวภาพยนต์เรื่องเมเกนเล่าได้ดีมาก ๆ ก็คือเรื่องของของเล่นหรือเทคโนโลยีสำหรับใครบางคนหรือคนบางกลุ่ม ที่ถ้าเกิดมันดีมาก ๆ เราอาจติดมันงอมแงม จนไม่อยากทำอะไรนอกจากใช้มันหรืออยู่กับมันได้ทั้งวัน เคสนี้เหมือนกับคนที่ติดการใช้สมาร์ตโฟน หรือติดเกมในปัจจุบันนี้มาก ๆ
ปัญหาการติดสมาร์ตโฟนหรือติดเกม ความจริงแล้วมนุษย์เรานั้นไม่ได้ติดตัวเทคโนโลยีเหล่านี้แต่อย่างใด แต่เราเสพติดสิ่งที่เรียกว่า "คอนเทนต์" ที่ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ในการนำเสนอออกมาต่างหาก รู้หรือไม่ว่า แนวทางในการออกแบบไม่ว่าจะเกมหรือแอปพลิเคชันต่าง ๆ ล้วนใช้หลักการคล้าย ๆ กัน นั่นคือการให้คนใช้ ใช้พวกมันได้นาน อยู่ในระบบได้นาน ง่าย สะดวก พึงพอใจ สบายใจ สิ่งเหล่านี้นอกจากจะสามารถมอบความสุขให้เราได้แล้ว มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราเสพติดได้เหมือนกัน...
ในเรื่องเมเกนเองก็เช่นกัน จะเกิดอะไรขึ้นหากมีหุ่นยนต์ของเล่น ที่สามารถดูแลเด็กได้ไม่ต่างจากผู้ปกครอง หรือในบางครั้งดีกว่าเสียด้วยซ้ำ จะเป็นอย่างไรเมื่อเราร้องไห้ เสียใจ แล้วมีหุ่นยนต์ที่รู้ว่าควรทำอย่างไรเราถึงจะหายเสียใจ หรือเยียวยาให้เราดีขึ้นได้ ใช่แหละถ้าเป็นเรา เราคงรักหุ่นยนต์ตัวนี้มากกว่าสิ่งใด บางครั้งอาจมากกว่าเพื่อน แฟน หรือพ่อแม่ของเราเสียอีก จริงไหม ?
ประเด็นที่ 3: การเก็บข้อมูลอย่างผิดกฎหมาย
ประเด็นนี้ไม่ใช่ประเด็นหลักที่ตัวภาพยนต์เล่าออกมาอย่างชัดเจนนัก แต่มีซีนนึง ที่หนึ่งในตัวละครของเรื่องยอมรับออกมาตรง ๆ ว่าใช้ของเล่นที่ได้รับความนิยม แอบเก็บข้อมูลเสียงการสนทนา หรือพฤติกรรมของผู้ใช้งานแบบลับ ๆ เพื่อนำข้อมูลเหล่านั้นมาพัฒนา เมเกน หรือของเล่นที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานมากกว่า
นี่ถือเป็นอีกหนึ่งความน่ากลัวที่ภาพยนต์เรื่องนี้เล่าออกมาแบบลับ ๆ เอาจริง ๆ เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าการใช้ชีวิตของเราตอนนี้ไม่ได้ถูกแอบจับตามอง หรือถูกเก็บข้อมูลโดยใครคนหนึ่ง มันน่ากลัวนะ แม้ปัจจุบันจะมีกฎหมายรองรับเรื่องนี้อยู่ก็จริง แต่มันก็ไม่มีเทคโนโลยีหรือระบบอะไรที่เราสามารถใช้เช็คได้ ว่าเราไม่ได้โดนถูกจับตามองและถูกเก็บข้อมูลเพื่อใช้ในการวิจัยเรื่องใดเรื่องหนึ่งอยู่ แบบที่เราไม่ได้ยินยอมหรือพร้อมใจนัก...
ประเด็นที่ 4: เทคโนโลยีการอ่านอารมณ์ความรู้สึก
หากพูดว่าเทคโนโลยีใดในภาพยนต์เรื่องเมเกน ที่ทำให้เรากลัวมากที่สุด ? ... เชื่อว่าคำตอบของใครหลาย ๆ คนก็คือเทคโนโลยีการอ่านอารมณ์ความรู้สึกเนี่ยแหละ เพราะในเรื่อง เมเกน ไม่ได้แค่อ่านอารมณ์เราอย่างถูกต้องเท่านั้น แต่มันยังรู้อีกด้วยว่าในอารมณ์นั้น ๆ ของเรา มันควรทำอย่างไรให้เรารู้สึกดี เชื่อใจ และที่น่ากลัวกว่านั้น คือมันแทบจะสามารถควบคุมอารมณ์ของเราได้เลย
เทคโนโลยีดังกล่าวในภาพยนต์ สำหรับปัจจุบันอาจไม่เกินจริงเกินไปด้วยซ้ำ เพราะปัจจุบันมีหลายประเทศที่เริ่มเอา AI มาฝึกอ่านอารมณ์ของมนุษย์ ซึ่งสามารถอ่านออกได้จากข้อมูลการเคลื่อนไหวทางร่างกายของตัวเรา ไม่ว่าจะสีหน้า การขยับมือ ขยับขา การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ ดวงตา ไปจนถึงน้ำเสียงและลักษณะการพูด สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่สามารถบอกได้ว่าเรากำลังรู้สึกอย่างไรอยู่
ปัญหาคือ หากเทคโนโลยีพัฒนาได้จนถึงขีดสุด หรือง่าย ๆ แค่แบบที่เมเกนทำได้ในภาพยนต์ เราจะรู้ได้อย่างว่าเราไม่ได้ถูกควบคุมด้วยจิตวิทยาอยู่ หรือมันคือความนึกคิดของเราจริง ๆ ?
ประเด็นที่ 5: เทคโนโลยีการเชื่อมต่อเครือข่ายทั้งหมด
ประเด็นนี้ไม่ใช่ประเด็นใหม่นักในภาพยนต์แนวหุ่นยนต์ตื่นรู้ และก็เริ่มที่จะไม่ใช่เรื่องแปลกนักในปัจจุบันด้วย โดยเฉพาะโลกในตอนนี้ที่เทคโนโลยี IoT กำลังก้าวมามีบทบาทสำคัญในชีวิตของผู้คน เราสามารถควบคุมอุปกรณ์ทุกสิ่งอย่างในบ้านด้วยสมาร์ตโฟนเครื่องเดียวได้ด้วยซ้ำ
ปัญหาคือ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราคือผู้มีสิทธิ์ควบคุมอุปกรณ์เหล่านี้เพียงผู้เดียว โดยเฉพาะเมื่อ AI ที่ตื่นรู้สามารถเชื่อมต่อและอ้างสิทธิ์ให้เหนือกว่าเราได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต่อให้ไม่ใช่ AI ก็ตาม แค่มนุษย์เราเองก็สามารถทำได้เช่นกัน ฟังแล้วมันก็เริ่มน่ากลัวถูกไหม ?
ประเด็นที่ 6: ภาพยนต์ที่เล่าเรื่องราวความเป็นจริงได้อย่างน่ากลัว
ในเรื่องเมเกน สิ่งหนึ่งที่ตัวภาพยนต์ทำได้ดีมาก ๆ คือการพูดถึงนิสัยของมนุษย์ เมื่อเรายังสนุกกับการทำงานหรือใช้ชีวิตอยู่ การดูแลบางคนหรือบางสิ่งบางอย่าง มันก็ไม่ใข่เรื่องที่ง่ายนัก มันก็คล้าย ๆ ที่ในปัจจุบัน ผู้ปกครองมักให้ลูกอยู่กับแท็บเล็ต เกม หรือทีวี มากกว่าที่จะอยู่กับตัวเอง เพราะตนรู้ว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้เด็กอยู่นิ่ง ๆ ได้นาน แล้วพวกเขาก็เอาตัวเองไปทำสิ่งต่าง ๆ อย่างที่หวังได้ต่อ
ประเด็นมันอยู่ที่มนุษย์เรานั้น มักสร้างสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมา เพื่อช่วยเหลือหรือแก้ปัญหาในการใช้ชีวิต แต่ที่มันยากก็คือ สิ่งที่พวกเราสร้างขึ้นมานี้ บางครั้งมันไม่ได้แค่แก้ปัญหาตามที่เราหวังเท่านั้น แต่มันอาจก่อให้เกิดสิ่งที่ดีและไม่ดีตามมาอีกมากมาย ที่น่ากลัวคือ เราอาจจะไม่สามารถแยกได้โดยง่ายว่า "สิ่งไหนดี หรือไม่ดี" เมื่อมันเกิดขึ้น...
ภาพจาก Universal Pictures
ข่าวแนะนำ
-
จีนเร่งพัฒนาจรวดขนส่งไปดวงจันทร์
- 20/6/67