เหนือความคาดหมาย! Apple Watch เปิดตัวทีเดียว 3 รุ่น ทั้ง Series 8 SE เจนใหม่ และ Apple Watch Ultra

Apple Watch Series 8

การเปิตตัวรุ่นที่ 8 ของแอปเปิลวอช (Apple Watch) มุ่งเน้นไปที่การปรับปรุง ติดตั้ง และเพิ่มประสิทธิภาพของระบบเซ็นเซอร์ต่าง ๆ โดยรวม ชูจุดเด่นการติดตั้งเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิร่างกาย สำหรับเพิ่มความแม่นยำในการนับรอบเดือนของผู้หญิงพร้อมการคาดคะเนวันไข่ตกในรอบเดือน ติดตั้งเซ็นเซอร์วัดความกดอากาศ (Barometer) ไจโรสโคป เซ็นเซอร์วัดแรงกด (G Force Sensor) และไมโครโฟน ผสานรวมกันด้วยระบบเรียนรู้ด้วยตัวเอง (Machine Learning) เพื่อนำเสนอระบบตรวจจับใหม่ล่าสุด ระบบตรวจจับการชน (Crash Detection) เพื่อให้นาฬิกาสามารถตรวจจับกรณีผู้ใช้งานถูกชนขณะอยู่ในรถยนต์หรือยานพาหนะอื่น ๆ ได้

ในขณะที่การปรับปรุงด้านอื่น ๆ ที่สำคัญได้แก่ ระบบชาร์จเร็ว (Fast Charging) ที่เพิ่มเข้ามาในรุ่นใหม่ล่าสุด ระบบถนอมพลังงาน (Low Power Mode) ที่จะสามารถใช้งานใน Apple Watch Series 4 ขึ้นไปได้ด้วยเช่นกัน พร้อมการปรับปรุงหน้าจอให้ชิดขอบมากขึ้น และระบบโรมมิ่งสากล (International Roaming) ซึ่งจะทำให้สามารถใช้งาน Apple Watch ข้ามประเทศได้โดยสะดวกมากขึ้นเพียงเชื่อมต่อและตั้งค่าร่วมกันกับไอโฟน (iPhone) 

แอปเปิลวอช ซีรีส์ 8 (Apple Watch Series 8) จะวางจำหน่ายในราคา 15,900 บาท สำหรับรุ่นที่รองรับ GPS และ 19,900 บาท สำหรับรุ่นที่เพิ่มฟีเจอร์เชื่อมต่อสัญญาณโทรศัพท์ โดยจะเริ่มวางจำหน่าย 16 กันยายนนี้ 

Apple Watch SE รุ่นใหม่

ในการเปิดตัว Apple Watch รุ่นใหม่ แอปเปิล (Apple) ได้สร้างความแปลกใจด้วยการเปิดตัว Apple Watch SE รุ่นใหม่ ชูจุดเด่นการใช้ชิปรุ่นเดียวกันกับ Apple Watch Series 8 และการขยายหน้าจอให้ใหญ่ขึ้น 30 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับ Series 3 ทำให้รองรับฟีเจอร์หลายอย่างที่มีใน Series 8 เช่น ระบบตรวจจับการชน (Crash Detection) และระบบ SOS และเพิ่มการตรวจจับการตก รวมถึงตรวจจับอัตราการเต้นของใจที่ดีขึ้น ระบบนับรอบเดือน รวมถึงยังได้ความสามารถการตรวจจับและวิเคราะห์การนอน (Sleep Stages) มาด้วย

Apple Watch SE รุ่นใหม่จะวางจำหน่ายในราคาเริ่มต้น 9,900 บาท สำหรับรุ่น GPS และราคา 11,900 บาท สำหรับรุ่นที่รองรับสัญญาณโทรศัพท์ พร้อมจำหน่ายวันที่ 16 กันยายนนี้เช่นกัน

Apple Watch Ultra

แอปเปิลเคลมว่า Apple Watch Ultra เป็นสมาร์ตวอช (Smartwatch) ที่อึดและถึกทนที่สุดเท่าที่เคยมีมาของบริษัท ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด เพิ่มปุ่มออกคำสั่ง (Action Button) ปุ่มปรับการทำงาน และเม็ดมะยม เพื่อรองรับการใช้งานสำหรับผู้ที่สวมถุงมือหรือต้องการสั่งการทำงานแบบรวดเร็ว หน้าจอสว่าง 2,000 นิต (nits) ซึ่งสว่างมากพอจะให้ความคมชัดของภาพท่ามกลางแสงแดงจ้าในพื้นที่โล่ง ผ่านการทดสอบมาตรฐานทางการทหาร MIL-STD 810H ที่หมายถึงการทนน้ำ แดด ฝุ่น หิมะ การสั่นสะเทือน การกระแทก และสภาพอุณหภูมิสุดขั้ว

ภายในรองรับการทำงานไดฟ์คอมพิวเตอร์ (Dive Computer) ที่สามารถระบุระดับความลึกและทิศทางระหว่างการดำน้ำได้ ซึ่งรองรับความลึกสูงสุด 100 เมตร ระบบเสียงไซเรนขอความช่วยเหลือผ่านลำโพงภายในตัว โหมดการบันทึกการออกกำลังกายที่ผสานความแม่นยำของ GPS แบบพิเศษ พร้อมกับโหมดการประหยัดแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนสูงสุด 60 ชั่วโมง ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง

แอปเปิล (Apple) เปิดราคาขาย Apple Watch Ultra ที่ 31,900 บาท ซึ่งจะมีเพียงเรือนขนาด 49 มิลลิเมตร ใหญ่ที่สุดเท่าที่แอปเปิล (Apple) เคยทำมา และติดตั้งระบบรับสัญญาณโทรศัพท์มาเป็นที่เรียบร้อย พร้อมเสนอตัวเลือกสายนาฬิกาทั้งหมด 3 รูปแบบ ได้แก่ Alpine Loop สายที่เน้นความกระชับสำหรับกิจกรรมผจญภัยขั้นสูง Trail Loop ที่เน้นการระบายอากาศแต่คงทนสำหรับการวิ่ง และ Ocean Band สำหรับกิจกรรมทางน้ำ โดยจะพร้อมจำหน่ายในวันที่ 23 กันยายน หรืออีก 1 สัปดาห์ หลังการเริ่มวางจำหน่าย Apple Watch รุ่นอื่น ๆ 

ที่มาข้อมูลและรูปภาพ Apple