แอปพลิเคชัน Trump เปิดให้ดาวน์โหลดแล้วบน App Store!

แอปพลิเคชันของอดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา กลายเป็นอีกหนึ่งแอปพลิเคชันที่มีผู้ให้ความสนใจดาวน์โหลดสูง โดยล่าสุดเปิดให้ดาวน์โหลดแล้วบน App Store

อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดตัวแอปพลิเคชันโซเชียลมีเดีย ชื่อว่า Truth Social ซึ่งมีรูปแบบคล้ายกับ Twitter โดยคาดว่าจะเป็น "เวทีทางดิจิทัล" ที่ทรัมป์จะได้ใช้แสดงความคิดเห็นและกลายเป็นพื้นที่สำหรับคนที่สนับสนุนของเขา หลังจากที่ทรัมป์โดนบรรดาแอปพลิเคชันจาก Big Tech ใหญ่ ๆ เช่น Twitter, Facebook และ YouTube แบน

ภาพจากรอยเตอร์

โดยสาเหตุที่ทำให้ทรัมป์ถูกแบนจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียชั้นนำ เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์จลาจลที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 6 มกราคมปีที่แล้ว ซึ่งนักวิจารณ์บางส่วนกล่าวหาว่าเป็นเพราะเขายุยงปลุกปั่นผ่านโซเชียลมีเดีย

โดยก่อนที่จะโดนทวิตเตอร์แบนอย่างถาวร ทรัมป์มักจะใช้ทวิตเตอร์ในการสื่อสารความคิดของตัวเอง โดยเคยทวีตไปเกือบ 60,000 ครั้งและดึงดูดผู้ติดตามได้เกือบ 90 ล้านคน ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่าเมื่อทรัมป์ต้องหาวิธีในการแสดงออกของตนเอง เขาจึงใช้วิธีการสร้างโซเชียลมีเดีย Truth Social ขึ้นมานั่นเอง

ภาพจาก The Verge

โดยล่าสุดหลังจากที่เปิดตัวไปเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา หรือวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ซึ่งตรงกับวันรำลึกถึงประธานาธิบดีสหรัฐฯ แอปพลิเคชัน Truth Social ก็เปิดให้ดาวน์โหลดจาก App Store แล้วสำหรับบรรดาสมาชิกที่กดจองไว้ล่วงหน้า ก่อนที่จะทยอยเปิดสิทธิ์การเข้าถึงให้กับสมาชิกคนอื่น ๆ ในรายการภายในเดือนหน้านี้ เนื่องจากสาเหตุความขัดข้องทางเทคนิคบางประการ ทำให้สมาชิกยังไม่สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันดังกล่าวได้ แต่จะถูกเพิ่มไว้ในลิสต์รายชื่อก่อนเท่านั้น

ซึ่งตัวทรัมป์เองหวังว่า Truth Social จะดึงดูดผู้คนนับล้านที่ติดตามเขาบน Twitter ซึ่งการเปิดตัวครั้งนี้ก็ดูจะเรียกความสนใจไปได้ไม่น้อยเลยทีเดียว โดยจากการจัดอันดับของ Apple แอปพลิเคชัน Truth Social มียอดดาวน์โหลดติดอันดับต้น ๆ ในสหรัฐอเมริกาในเช้าวันจันทร์ที่ผ่านมา เอาชนะบริการสตรีมมิ่ง HBO Max, TikTok, YouTube, Instagram และ Facebook ไปได้ และล่าสุดหุ้นในบริษัทTrump Media and Technology Group ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Truth Social ได้เพิ่มสูงขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาอีกด้วย

อย่างไรก็ตามตอนนี้ แอปพลิเคชัน Truth Social ยังคงจำกัดการใช้งานในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น

ขอบคุณข้อมูลจาก

globalnews

theverge