ยึดทรัพย์-ฟ้องล้มละลาย ยกระดับปราบยาเสพติดปี 68
รัฐบาลประกาศเพิ่มความเข้มข้นในการปราบปรามยาเสพติด นอกจากเดินหน้าจับกุมผู้ค้า นำผู้เสพเข้าสู่การบำบัด ยึดทรัพย์แล้ว ในปี 68 การยึดทรัพย์จะยกระดับผู้ค้าไปสู่การฟ้องล้มละลายจะได้สามารถยึดทรัพย์ได้มากขึ้น ขณะเดียวกันยังขยายความร่วมมือประสานกับประเทศเพื่อนบ้านทางฝั่งจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ในการร่วมกันสกัดกั้นลำเลียงยาเสพติด
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการติดตาม เร่งรัดการดำเนินงานป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด ครั้งที่ 1/2567 พร้อมด้วย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท. ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการสำนักงานป้องและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.)และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม โดยมีการพิจารณาเรื่องแผนปฏิบัติการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด ปีงบประมาณ 2568
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า นโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลได้เน้นย้ำว่าไม่เพียงเป็นวาระแห่งชาติ แต่เป็นวาระของระดับนานาชาติที่ต้องร่วมมือกันในการปราบปรามให้ครบวงจรทุกมิติ ที่ผ่านมาการปราบปรามยาเสพติดของไทยจะประสานกับประเทศเพื่อนบ้านแค่ทวิภาคี แต่จากนี้ในปีงบประมาณ 68 จะขยายความร่วมมือเพิ่มขึ้น คือ ประสานกับประเทศเพื่อนบ้านทางฝั่งจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ในการร่วมกันสกัดกั้นลำเลียงยาเสพติด โดยเฉพาะยาเสพติดที่ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านไปสู่ประเทศที่ 3 รวมถึงยาเสพติดที่ส่งเข้ามากระจายภายในประเทศไทยโดยตรง เช่น ยาบ้า ขณะเดียวกันจะใช้มาตรการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการยึดทรัพย์ให้เข้มข้นขึ้น ยกระดับฟ้องร้องให้ผู้ค้ายาเสพติดเป็นผู้ล้มละลาย เพื่อที่จะยึดทรัพย์ได้มากขึ้น
ส่วนแนวทางการฟื้นฟูบำบัดผู้ติดยาเสพติด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ระบุว่า ยังให้ความสำคัญ กำชับให้ ป.ป.ส.ประสานกับฝ่ายปกครองส่วนท้องถิ่นในการค้นหาผู้เสพนำเข้าสู่การบำบัดพร้อมเน้นย้ำผู้เสพทุกคนจะต้องได้รับการฟื้นฟูสภาพทางสังคม สร้างงานสร้างอาชีพให้มีรายได้ที่มั่นคง เพื่อลดการกลับไปใช้ยาเสพติดอีก ซึ่งที่ผ่านมาในแต่ละปีจะมีผู้เสพยาเสพติดที่ถูกจับกุมดำเนินคดีด้วยพ้นโทษจากเรือนจำ 5 แสนคน หากสามารถช่วยให้ผู้เสพที่พึ่งพ้นโทษออกมามีอาชีพมั่นคง ไม่ถูกเลือกปฏิบัติจากสังคมก็จะลดจำนวนผู้กระทำผิดซ้ำลงได้
อีกหนึ่งแนวทางในการแก้ปัญหายาเสพติด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม บอกว่า ต้องให้ความสำคัญไปถึงเรื่องการศึกษา เพราะพบว่าผู้ต้องขังในเรือนจำ 3 แสนคน ที่ส่วนใหญ่ต้องโทษคดียาเสพติด มากกว่าร้อยละ 70 ได้รับการศึกษาไม่สูงมาก ทั้งนี้เชื่อว่าหากประชาชนเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียม จะลดการกระทำความผิดลงได้ หรือในเรือนจำจะสามารถลดจำนวนผู้ต้องขังลงเหลือแค่ 7 หมื่นคน
ข่าวแนะนำ