เช็กสัญญาณเตือน! เส้นเลือดในสมองแตก
เส้นเลือดในสมองแตก เป็นอาการที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจอันตรายถึงชีวิตได้
เส้นเลือดในสมองแตก หรือ หลอดเลือดสมองแตก เกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยสาเหตุหลักเกิดจากหลอดเลือดในสมองที่มีความเสื่อมสะสมจากสาเหตุต่าง ๆ และจากหลอดเลือดที่เสื่อมสภาพ อาจจะตีบ อุดตัน ทำให้เลือดไม่สามารถไปหล่อเลี้ยงสมองได้ ส่งผลทำให้สมองขาดออกซิเจน หากเป็นระยะเวลานาน จะทำให้เซลล์สมองตาย กลายเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือเสียชีวิตได้
โดยกลุ่มเสี่ยงอาการหลอดเลือดสมองแตก บ่อยที่สุด คือ ผู้ที่อายุ 50 ปีขึ้นไป เนื่องจากการเสื่อมของอวัยวะที่ผ่านไปตามกาลเวลา ทำให้ระบบการทำงานของอวัยวะต่างถดถอยลง และยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูงที่ไม่ได้รับการควบคุม ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน และการสูบบุหรี่
อาการที่บ่งบอกว่าอาจเกิดอาการหลอดเลือดสมองแตก มักจะมีอาการดังนี้
->ชาที่ใบหน้า แขน หรือขา มักจะเป็นร่างกายซีกซ้ายหรือซีกขวาเพียงด้านเดียว สับสน พูดไม่ชัด หรือ ไม่เข้าใจคำพูดของผู้อื่น
>มีปัญหาการมอง อาจเกิดขึ้นที่ตาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้าง
->ปัญหาในการเดิน ทรงตัว
->มีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
->วิงเวียน คลื่นไส้ หรืออาเจียนผิดปกติ
หากตนเองหรือคนใกล้ชิดมีอาการเหล่านี้ ควรรีบโทร 1669 เรียกรถพยาบาลทันที
วิธีการป้องกันหลอดเลือดสมองแตก ได้แก่
->ควบคุมความดันเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคหลอดเลือดสมอง
->ควบคุมระดับคอเลสเตอรอล ซึ่งจะนำไปสู่การสะสมของคราบจุลินทรีย์ในหลอดเลือดแดง ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบตันหรือแตกได้
->เลิกสูบบุหรี่ เพราะจะทำลายหลอดเลือดและเพิ่มความเสี่ยงของหลอดเลือดสมองแตก
->ออกกำลังกายเป็นประจำ ช่วยให้หัวใจแข็งแรงและลดความดันเลือด
->รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี และโปรตีนไม่ติดมัน
->หลีกเลี่ยงความเครียด เพราะจะเพิ่มความดันเลือดและความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองแตก
การรักษาหลอดเลือดสมองแตก
->มีการรักษาด้วยยา ส่วนมากใช้การรักษาแบบประคับประคอง โดยใช้ยาลดความดันเลือด
->การผ่าตัด สำหรับผู้ป่วยส่วนน้อย แพทย์จะพิจารณาเป็นกรณีเร่งด่วน ซึ่งจะมีความเสี่ยงสูงทำให้ผู้ป่วยมีความพิการ ทุพพลภาพถาวรได้ และการฟื้นฟูสมรรถภาพซึ่งจะช่วยปรับปรุงการทำงานของร่างกายและจิตใจที่ได้รับผลกระทบจากอาการหลอดเลือดสมองแตก
ข้อมูลจาก : ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ข่าวแนะนำ