กยศ. เผยหนี้เสียคงค้างเพิ่มเกือบเท่าตัว รวมราวแสนล้านบาท
กยศ. หวังแก้กม. ใหม่ช่วยให้เกิดการชำระหนี้มากขึ้น พร้อมเผยจำนวนหนี้คงค้างเพิ่มเกือบเท่าตัว รวมราว 1 แสนล้านบาท
วันนี้ ( 20 ม.ค. 67 )นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า ตามที่ รัฐบาลได้แก้ไข พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาฉบับใหม่ ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2566 โดยปรับวิธีการคำนวณหนี้ใหม่ จากเดิม ในกรณีที่ลูกหนี้มีการผิดนัดชำระหนี้ต่อกองทุน และภายหลังมีการทยอยชำระเข้ามา เงินที่ชำระเข้ามา จะต้องนำไปตัดค่าปรับการผิดนัดชำระหนี้ก่อนเป็นอันดับแรก
ต่อมาก็นำมาตัดดอกเบี้ยที่ค้างชำระ สุดท้ายจึงมาตัดเงินต้น ทำให้ลูกหนี้ที่เป็นหนี้ค้างชำระ เมื่อนำเงินเข้ามาชำระหนี้ เงินต้นจะลดลงน้อยมากแต่กฎหมายใหม่ เมื่อมีการชำระเข้ามา เงินนั้นจะไปตัดที่เงินต้นก่อน แล้วจึงค่อยมาตัดภาระดอกเบี้ยค้าง และสุดท้ายมาตัดที่ค่าปรับ
นายชัยณรงค์ กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมา โดยตามกฎหมายเดิม กำหนดให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ร้อยละ 1 ต่อปี แต่กฎหมายใหม่ กำหนดให้ ไม่เกินร้อยละ 1 ต่อปี หมายความว่าจะกำหนดให้ต่ำกว่าร้อยละ 1 ได้ ส่วนค่าปรับกรณีผิดนัดชำระหนี้นั้น กฎหมายเดิม กำหนดให้คิดค่าปรับร้อยละ 7.5 แต่กฎหมายใหม่ คิดเพียงร้อยละ 0.5 เท่านั้น
ดังนั้น การคำนวณหนี้แบบใหม่ดังกล่าว จะทำให้ลูกหนี้ ต้องการมาชำระหนี้ที่ค้างอยู่มากขึ้น เนื่องจากภาระหนี้จะลดเร็วกว่าเดิม ทั้งนี้ปัจจุบัน กยศ.มีหนี้เสียสะสม นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนมา รวมราว 1 แสนล้านบาท ซึ่งยอดหนี้เสียดังกล่าว สูงขึ้นเกือบเท่าตัว เมื่อเทียบกับปี 2560 ที่มีหนี้เสียอยู่ราว 6 หมื่นล้านบาท
สาเหตุที่หนี้เสียพุ่งสูงขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอัตราดอกเบี้ยของกยศ. ที่คิดในอัตราต่ำเพียงร้อยละ 1 ขณะที่ดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ยังสูงกว่าดอกเบี้ยเงินกู้ของกยศ. ดังนั้นจึงมีลูกหนี้ที่อาจจะมีภาระหนี้หลายทาง ไม่ว่าหนี้บ้าน หนี้บัตรเครดิต หนี้ผ่อนรถยนต์ เลือกที่จะชำระหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงก่อนการชำระหนี้ให้กับ กยศ.
ขณะเดียวกันในแต่ละปี กยศ.ยังปล่อยเงินกู้ให้แก่นักเรียน นักศึกษาที่ต้องการเงินกู้เพื่อการศึกษา ราว 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งเงินที่ปล่อยกู้ใหม่ในทุกปีดังกล่าว ส่วนหนึ่งก็กลายเป็นหนี้เสีย เข้ามาสะสม และในปัจจุบันสินเชื่อคงค้างของ กยศ.อยู่ที่ 4.8 แสนล้านบาท โดยมีลูกหนี้ 3.5 ล้านคน
ภาพจาก: Getty image
ข่าวแนะนำ