TNN ย้อนดูอดีตการเมืองไทย "ชนะเลือกตั้ง" แต่ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี

TNN

การเมือง

ย้อนดูอดีตการเมืองไทย "ชนะเลือกตั้ง" แต่ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี

ย้อนดูอดีตการเมืองไทย ชนะเลือกตั้ง แต่ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี

ย้อนดูประวัติศาสตร์การเมืองไทย "ชนะเลือกตั้ง" แต่ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี เคยมีเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นแล้ว 8 ครั้ง รวมการเลือกตั้งครั้งนี้ด้วย

ย้อนดูประวัติศาสตร์การเมืองไทย  "ชนะเลือกตั้ง" แต่ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี เคยมีเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นแล้ว 8 ครั้ง รวมการเลือกตั้งครั้งนี้ด้วย


นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อปี 2475 มาจนถึงปัจจุบัน เป็นเวลา 91 ปี ประเทศไทยมีการเลือกตั้งทั่วไปมาแล้ว 27 ครั้ง หากย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์การเมืองไทย จะพบว่า พรรคการเมืองที่ชนะเลือกตั้งมาเป็นอันดับ 1 แต่ไม่สามารถขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ เคยเกิดขึ้นมาแล้ว 8 ครั้ง


ครั้งแรกเกิดขึ้นในการเลือกตั้งปี 2500 


นายสุกิจ นิมมานเหมินท์ เป็นหัวหน้าพรรคสหภูมิ นำพรรคชนะการเลือกตั้ง ได้ สส. 44 ที่นั่ง จาก 160 ที่นั่ง แต่เหตุการณ์ขณะนั้น จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารบกและเป็นหัวหน้าพรรคชาติสังคม กังวลว่าพรรคสหภูมิที่ตนเองให้การสนับสนุนจะไม่มีเสถียรภาพมากพอ จึงตัดสินใจยุบพรรคสหภูมิและและพรรคเสรีมนังคศิลาพร้อมดูด สส.ที่ไม่สังกัดพรรคและ สส.ที่มาจากการแต่งตั้งเข้ามาอยู่ในพรรคชาติสังคม และจัดตั้งรัฐบาลผสม โดยให้พลโทถนอม กิตติขจร รองหัวหนาพรรคชาติสังคม ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี

การเลือกตั้ง 2518 


ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นำพรรค ชนะเลือกตั้งได้ สส. 72  ที่นั่ง จึงเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล  แต่ได้เสียงสนับสนุนเพียง 103 เสียง ไม่ถึงกึ่งหนึ่งของ สส.ในสภาฯ 296 ที่นั่ง พรรคประชาธิปัตย์ต้องจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ทำให้ไม่ผ่านการโหวตลงมติระหว่างที่คณะรัฐมตรีแถลงนโยบายต่อสภาฯ เปิดช่องให้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช หัวหน้าพรรคกิจสังคม ที่มี สส. ในสภาเพียง 18 เสียง สามารถรวบรวม สส.พรรคต่าง ๆ 8 พรรค ได้ 135 เสียง ถึงกึ่งหนึ่งพอดี จัดตั้งรัฐบาล และได้ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี


การเลือกตั้ง ปี 2522 


หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช หัวหน้าพรรคกิจสังคม นำพรรคชนะการเลือกตั้งได้สส. 88 ที่นั่ง แต่ไม่มีพรรคการเมืองใดได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนสส.ในสภาฯ ที่มีทั้งหมด 301 ที่นั่ง ทุกพรรคจึงมีมติสนับสนุนให้ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต่อเป็นสมัยที่ 2


การเลือกตั้งปี 2526 


พล.อ.ประมาณ อดิเรกสาร หัวหน้าพรรคชาติไทย นำพรรค ชนะเลือกตั้ง ได้ สส. 110 ที่นั่ง จากทั้งหมด 324 ที่นั่ง และไม่มีพรรคใดได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง พรรคกิจสังคม, พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคประชากรไทย จึงตกลงกันที่จะสนับสนุน พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีต่อเนื่องอีกสมัย


การเลือกตั้ง 2529  


นายพิชัย รัตตกุล หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นำพรรคชนะเลือกตั้งได้ สส. 100 ที่นั่ง จากทั้งหมด 347 ที่นั่ง เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลผสมร่วมกับพรรคชาติไทยที่ได้ 64 ที่นั่ง พรรคกิจสังคม 51 ที่นั่ง และพรรคราษฎร 20 ที่นั่ง โดยทั้ง 4 พรรค เห็นชอบให้ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมตรีต่อ เป็นสมัยที่ 3


การเลือกตั้ง 2535 


นายณรงค์ วงศ์วรรณ หัวหน้าพรรคสามัคคีธรรม นำพรรค ชนะการเลือกตั้งได้ สส. 79 ที่นั่ง จากสส.ทั้งหมด 360 ที่นั่ง จัดตั้งรัฐบาลผสม 5 พรรค จำนวน 195  เสียง และเตรียมเสนอชื่อนายณรงค์ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ปรากฏข่าว ว่า นายณรงค์มีความใกล้ชิดกับขบวนการค้ายาเสพติด แม้ นายณรงค์ จะปฏิเสธเรื่องดังกล่าวแต่ไม่เป็นผล ทำให้แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลท 5 พรรค เสนอชื่อ พลเอกสุจินดา คราประยูร ขึ้นดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี


การเลือกตั้ง 2562  


พรรคเพื่อไทย ได้รับเลือกมาเป็นอันดับ 1 ได้ สส. 136 ที่นั่ง จาก สส.ทั้งหมด 500 ที่นั่ง ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยมีคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ , นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ , นายชัยเกษม นิติสิริ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ขณะที่พรรคพลังประชารัฐ ได้รับเลือกมาเป็นอันดับ 2 ได้ สส. 116 ที่นั่ง ประกาศจะจัดตั้งรัฐบาลเช่นกัน โดยได้รวบรวมเสียง สส.จากพรรคร่วม 19 พรรค จัดตั้งรัฐบาลผสม จำนวน สส. 251 ที่นั่ง และเสนอชื่อ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเป็นคนนอก ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีเสียงสว. 250 เสียง มาร่วมโหวตสนับสนุนด้วย


การเลือกตั้ง 2566


เมื่อ14 พฤษภาคม ที่ผ่านมา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล  ชนะการเลือกตั้ง ได้จำนวน สส. 151 ที่นั่ง ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลผสม 8 พรรค  312 เสียง เกินครึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร แต่นายพิธา ไม่สามารถฝ่าด่าน สว.ที่มาร่วมลงมติโหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรีได้ ซึ่งต้องใด้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของ 2 สภาฯ คือ 276 เสียง ทำให้ต้องส่งไม้ต่อให้พรรคเพื่อไทย ที่ได้รับเลือกมาเป็นอันดับ 2 จำนวน 141 เสียง เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

ประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า แม้ผู้ที่ชนะการเลือกตั้ง แต่ก็ไม่สามารถที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งได้ เพราะมีเงื่อนไขและเหตุปัจจัยที่แตกต่างกัน




แฟ้มภาพ TNN Online

ข่าวแนะนำ