TNN รู้จักก่อนดูละคร “เมืองลับแล” มีจริงไหม - ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ไหน?

TNN

ไลฟ์สไตล์

รู้จักก่อนดูละคร “เมืองลับแล” มีจริงไหม - ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ไหน?

รู้จักก่อนดูละคร “เมืองลับแล” มีจริงไหม - ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ไหน?

ทำความรู้จักก่อนดูละคร “เมืองลับแล” เมืองลึกลับในตำนาน มีอยู่จริงหรือไม่ - ปัจจุบันตั้งอยู่ที่จังหวัดไหน

นับเป็นละครที่กำลังมาแรงเลยทีเดียวสำหรับ “ละครเมืองลับแล” ใครหลายคนอาจคุ้นหูตำนานเกี่ยวกับเมืองนี้มาบ้าง รู้หรือไม่ว่าเมืองนี้มีอยู่จริง ตั้งอยู่ในจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นชื่ออำเภอเมืองเล็ก ๆ ด้วยการที่เดินทางไม่สะดวก เส้นทางคดเคี้ยว เต็มไปด้วยเทือกเขาซับซ้อน บรรยากาศเยือกเย็น อีกทั้ง ทำให้คนพลัดหลงได้ง่าย จนได้ชื่อว่าเป็นเมืองลับแล ซึ่ง แปลว่ามองไม่เห็น 


ขณะที่อีกบันทึกเล่าว่า คำว่าเมืองลับแล มาจากคำว่า “ลับแลง” เนื่องจากภูมิทำเลนั้นมีเทือกเขาม่อนฤาษีอยู่ทางทิศตะวันตก ซึ่งเป็นทิวเขาใหญ่ ช่วงเวลาเย็นแสงอาทิตย์จะลับไปกับม่อนฤาษี จึงได้ชื่อเรียกว่า “ลับแลง” หมายถึงแสงของดวงอาทิย์หายไปในช่วงตอนเย็น 


ทั้งนี้อำเภอลับแล ในสมัยอดีตป็นส่วนหนึ่งของเมืองทุ่งยั้งในอาณาจักรสุโขทัย จนในปี พ.ศ. 1981 เมืองทุ่งยั้ง ได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นในฐานะเป็นเมืองหน้าด่านของอาณาจักรอยุธยา ซึ่งมีตำนานเล่าขานว่าเป็นเมืองลึกลับที่คนต้องถือสัจจะ ห้ามพูดโกหกเป็นอันขาด ถึงขนาดที่ผู้หญิงยอมทิ้งสามีเพื่อเป็นหม่ายได้ โดยเรื่องเล่ามีอยู่ว่า 


มีชายหนุ่มเมืองทุ่งยั้ง เข้าไปในป่า ได้เห็นหญิงสาวสวยหลายคนเดินออกมา ครั้นมาถึงชายป่า นางเหล่านั้นก็เอาใบไม้ที่ถือมาไปซ่อนไว้ในที่ต่าง ๆ แล้วก็เข้าไปในเมือง ด้วยความสงสัยชายหนุ่มจึงแอบหยิบใบไม้มาเก็บไว้ใบหนึ่ง ตกบ่ายหญิงสาวเหล่านั้นกลับมา ต่างก็หาใบไม้ที่ตนซ่อนไว้ ครั้นได้แล้วก็ถือใบไม้นั้นเดินหายลับไป มีหญิงสาวคนหนึ่งหาใบไม้ไม่พบ เพราะชายหนุ่มแอบหยิบมา นางวิตกเดือดร้อนมาก ชายหนุ่มจึงปรากฏตัวให้เห็นและคืนใบไม้ให้ โดยมีข้อแลกเปลี่ยนคือ ขอติดตามนางไปด้วยเพราะปรารถนาจะได้เห็นเมืองลับแล ห


ญิงสาวก็ยินยอม นางจึงพาชายหนุ่มเข้าไปยังเมืองซึ่งชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าทั้งเมืองมีแต่ผู้หญิง นางอธิบายว่าคนในหมู่บ้านล้วนมีศีลธรรม ถือวาจาสัตย์ ใครประพฤติผิดก็ต้องออกจากหมู่บ้านไป ผู้ชายส่วนมากมักไม่รักษาวาจาสัตย์จึงต้องออกจากหมู่บ้านกันไปหมด แล้วนางก็พาชายหนุ่มไปพบมารดาของนาง ชายหนุ่มเกิดความรักใคร่ในตัวนางจึงขออาศัยอยู่ด้วย มารดาของหญิงสาวก็ยินยอม แต่ให้ชายหนุ่มสัญญาว่าจะต้องอยู่ในศีลธรรม ไม่พูดเท็จ ชายหนุ่มได้แต่งงานกับหญิงสาวชาวลับแลจนมีบุตรชายด้วยกัน 1 คน


วันหนึ่งขณะที่ภรรยาไม่อยู่บ้าน ชายหนุ่มผู้พ่อเลี้ยงบุตรอยู่ บุตรน้อยเกิดร้องไห้หาแม่ไม่ยอมหยุด ผู้เป็นพ่อจึงปลอบว่า "แม่มาแล้ว ๆ" มารดาของภรรยาได้ยินเข้าก็โกรธมากที่บุตรเขยพูดเท็จ เมื่อบุตรสาวกลับมาก็บอกให้รู้เรื่อง ฝ่ายภรรยาของชายหนุ่มเสียใจมากที่สามีไม่รักษาวาจาสัตย์ นางบอกให้เขาออกจากหมู่บ้านไปเสีย แล้วนางก็จัดหาย่ามใส่เสบียงอาหารและของใช้ที่จำเป็นให้สามี พร้อมทั้งขุดหัวขมิ้นใส่ลงไปด้วยเป็นจำนวนมาก จากนั้นก็พาสามีไปยังชายป่า ชี้ทางให้ แล้วนางก็กลับไปเมืองลับแล ชายหนุ่มไม่รู้จะทำอย่างไรก็จำต้องเดินทางกลับบ้านตามที่ภรรยาชี้ทางให้ 


ระหว่างทางที่เดินไปนั้น เขามีความรู้สึกว่าถุงย่ามที่ถือมาหนักขึ้นเรื่อย ๆ และหนทางก็ไกลมาก จึงหยิบเอาขมิ้นที่ภรรยาใส่มาให้ทิ้งเสียจนเกือบหมด ครั้นเดินทางกลับไปถึงหมู่บ้านเดิม บรรดาญาติมิตรต่างก็ซักถามว่าหายไปอยู่ที่ไหนมาเป็นเวลานาน ชายหนุ่มจึงเล่าให้ฟังโดยละเอียดรวมทั้งเรื่องขมิ้นที่ภรรยาใส่ย่ามมาให้แต่เขาทิ้งไปเกือบหมด เหลืออยู่เพียงแง่งเดียว พร้อมทั้งหยิบขมิ้นที่เหลืออยู่ออกมา ปรากฏว่าขมิ้นนั้นกลับกลายเป็นทองคำทั้งแท่ง ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจและเสียดาย จึงพยายามย้อนไปเพื่อหาขมิ้นที่ทิ้งไว้ ปรากฏว่าขมิ้นเหล่านั้นได้งอกเป็นต้นไปหมดแล้ว และเมื่อขุดดูก็พบแต่แง่งขมิ้นธรรมดาที่มีสีเหลืองทอง แต่ไม่ใช่ทองเหมือนแง่งที่เขาได้ไป เขาพยายามหาทางกลับไปเมืองลับแล แต่ก็หลงทางวกวนไปไม่ถูก จนในที่สุดก็ต้องละความพยายามกลับไปอยู่หมู่บ้านของตนตามเดิม


ในปัจจุบันนั้น อำเภอลับแลนอกจากจะมีโบราณสถานที่น่าสนใจมากมายแล้ว ยังเป็นแหล่งผลิตสินค้าหัตถกรรมพื้นเมืองล้านนา เช่น ผ้าตีนจก ไม้กวาด เป็นแหล่งปลูกลางสาด และทุเรียนหลง-หลินลับแล ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีชื่อเสียงของจังหวัด ซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้าไปเยี่ยมชม และ ศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นมาสร้างรายได้ให้กับจังหวัดได้เป็นอย่างดี 


ภาพจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุตรดิตถ์ 

ข่าวแนะนำ