ไฮไลท์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก 2019-20 สัปดาห์ที่ 32 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พบ ลิเวอร์พูล
แมนฯ ซิตี้ ตอนรับแชมป์พรีเมียร์ลีก ด้วยการเปิดรังถล่มเอาชนะลิเวอร์พูล ไป 4-0 โดยได้ประตูจาก เดอบรอยน์,โฟเด้น,สเตอร์ลิง และ แชมเบอร์เลน ทำเข้าประตูตัวเอง ส่งผลให้ แมนฯ ซิตี้รั้งที่ 2 ตามเดิม มีแต้มหนีห่าง เลสเตอร์ เป็น 11 คะแนน
ศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัด32 "เรือใบสีฟ้า" แมนฯ ซิตี้ เปิดสนามเอติฮัด สเตเดี้ยม รับการมาเยือนของ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ลงทำการแข่งขันเวลา 02.15 น. คืนวันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม 2563
ครึ่งเวลาแรก
เริ่มเกมมาได้เพียง 4 นาที เฟอร์กิล ฟาน ไดจ์ค วางบอลยาวไปให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เอาบอลลงในเขตโทษ ก่อนตัดสินใจยิงบอลไปติดเซฟของ เอแดร์ซอน มาเข้าทางของ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ได้จังหวะยิงซ้ำแต่บอลไหลเบาๆ เอแดร์ซอน รับเอาไว้ได้
นาทีที่ 10 เควิน เดอ บรอยน์ ได้บอลเลี้ยงขึ้นมา ก่อนจ่ายให้ ฟิล โฟเด้น ได้จังหวะเลี้ยงเข้าเขตโทษ ก่อนไหลกลับมาให้ เควิน เดอ บรอยน์ ได้จังหวะยิงไปติดบล็อค แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน มาเข้าทาง เควิน เดอ บรอยน์ ยิงซ้ำอีกที ก็ยังติดบล็อคเหมือนเดิม ก่อนที่กองหลัง ลิเวอร์พูลจะเคลียร์ทิ้งไปได้
นาทีที่ 19 โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ จ่ายบอลทะลุช่องให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เลี้ยงบอลหาช่อง ก่อนได้จังหวะยิงบอลพุ่งไปชนเสา มาเข้าทาง ซาดิโอ มาเน่ จับบอลไม่ดีบอลหลุดออกหลังไป
นาทีที่ 25 ราฮีม สเตอร์ลิง ได้บอลในเขตโทษ ก่อนเป็น โจ โกเมซ เข้ามาเบียดก่อนมีจังหวะดึง และ สเตอร์ลิง ล้มลงในเขตโทษ ผู้ตัดสินเป่าเป็นจุดโทษทันที ก่อนเป็น เควิน เดอ บรอยน์ รับหน้าที่ยิงไม่พลาดช่วยให้ แมนฯ ซิตี้ ออกนำ ลิเวอร์พูล 1-0
นาทีที่ 35 ฟิล โฟเด้น ได้บอลหน้าเขตโทษ ก่อนจ่ายทะลุช่องให้ ราฮีม สเตอร์ลิง ได้จังหวะครองบอลก่อนตัดสินใจยิงบอลผ่านตัว อลิสซง เบ็คเกอร์ เข้าประตูไป ช่วยให้ แมนฯ ซิตี้ นำ ลิเวอร์พูล 2-0
นาทีที่ 45 จากจังหวะทำชิ่งกันระหว่าง ฟิล โฟเด้น กับ เควิน เดอ บรอยน์ ก่อนที่จะเป็น ฟิล โฟเด้น ได้บอลหลุดเข้าไปในเขตโทษ ได้จังหวะยิงผ่านมือ อลิสซง เบ็คเกอร์ เข้าประตูไป ช่วยให้ แมนฯ ซิตี้ นำ ลิเวอร์พูล 3-0 หลังจากนั้นไม่มีทีมใดทำประตูเพิ่มเติมได้ หมดเวลาการแข่งขันครึ่งแรก แมนฯ ซิตี้ นำห่าง ลิเวอร์พูล 3-0
ครึ่งเวลาหลัง
นาทีที่ 46 ทีมเยือนส่ง อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด แชมเบอร์เลน ลงสนามแทนที่ โจ โกเมซ
นาทีที่ 49 เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ทุ่มบอลเข้ามาไม่ดี ไปเข้าทาง กาเบรียล เชซุส เก้บบอลได้ ก่อนเลี้ยงบอลไปหน้าเขตโทษ แล้วตัดสินใจยิงบอลไปเข้ามือ อลิสซง เบ็คเกอร์
หลังจากนั้นอีก 2 นาที จากจังหวะเตะมุมของเจ้าถิ่น กองหลังลิเวอร์พูล สกัดบอลอกมาได้ ก่อนเป็น อิลคาย กุนโดกัน ได้บอลแล้ววางยาวไปให้ เควิน เดอ บรอยน์ ได้บอลทางด้านขวาก่อนจ่ายให้ ฟิล โฟเด้น ได้จังหวะยิงบอลผ่านมือ อลิสซง เบ็คเกอร์ ไปแล้ว แต่ยังเป็น เฟอร์กิล ฟาน ไดจ์ค ตามไปสกัดบอลก่อนเข้าประตูได้
นาทีที่ 58 เจ้าถิ่นเปลี่ยตัวผู้เล่นเลือกส่ง ริยาด มาห์เรซ ลงสนามแทนที่ กาเบรียล เชซุส
นาทีที่ 62 ทีมเยือนเปลี่ยนตัวผู้เล่น 2 คนรวด เลือกส่ง นาบี เกอิต้า ลงสนามแทนที่ จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม และ ดิว็อค โอริกี้ ลงสนามแทนที่ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่
นาทีที่ 66 หลังจากที่ ทีมเยือนพยายามบุกเพื่อหวังทวงประตูคืน แต่เจ้าถิ่นได้จังหวะโต้กลับ โรดรี้ วางบอลยาวไปให้ เควิน เดอ บรอยน์ ก่อนจ่ายบอลให้ ราฮีม สเตอร์ลิง ได้จังหวะยิงประตูในเขตโทษ แต่เป็นทาง อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด แชมเบอร์เลน วิ่งมาสกัดบอลเข้าประตูไป แมนฯ ซิตี้ นำ ลิเวอร์พูล 4-0
นาทีที่ 73 ชูเอา คันเซโล่ ถูกส่งลงสนามแทนที่ ไคล์ วอล์คเกอร์ หลังจากนั้นอีก 3 นาที เนโก วิลเลี่ยมส์ ถูกส่งลงสนามแทนที่ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์
นาทีที่ 78 นิโกลัส โอตาเมนดี้ และ แบร์นาร์โด้ ซิลวา ถูกส่งลงสนามแทนที่ อายเมริค ลาปอร์กต์ และ ราฮีม สเตอร์ลิง
นาทีที่ 81เจ้าถิ่นตัดบอลได้ตรงกลางสนาม ก่อนเป็น เควิน เดอ บรอยน์ วางบอลยาวไปให้ ริยาด มาห์เรซ ได้จังหวะยิงจากหน้าเขตโทษ บอลหลุดเสาออกไป
นาทีที่ 85 ทาคูมิ มินามิโนะ ถูกส่งลงสนามแทนที่ ซาดิโอ มาเน่
นาทีที่ 90+5 ริยาด มาห์เรซ ทำชิ่งกับ ฟิล โฟเด้น ก่อนบอลมาเข้าทาง ริยาด มาห์เรซ ได้บอลเลี้ยงจี้เข้าไปในเขตโทษ ก่อนตัดสินใจยิงบอลเข้าประตูไป ช่วยให้ แมนฯ ซิตี้ นำ ลิเวอร์พูล 5-0 แต่ วีเออาร์ มายกเลิกประตู หลังบนไปโดนแขน ฟิล โฟเด้น ก่อน
หลังจากนั้นไม่มีทีมใดทำประตูเพิ่มเติมได้ หมดเวลาการแข่งขัน แมนฯ ซิตี้ เปิดบ้านเอาชนะ ลิเวอร์พูล 4-0 ส่งผลให้ แมนฯ ซิตี้รั้งที่ 2 ตามเดิม มีแต้มหนีห่าง เลสเตอร์ เป็น 11 คะแนน
11 คนแรกที่จะลงสนามเป็นตัวจริง
แมนฯ ซิตี้ ระบบ (4-3-3) : เอแดร์ซอน ; ไคล์ วอล์คเกอร์,เอริค การ์เซีย, อายเมริค ลาปอร์กต์, เบนฌาแม็ง เมนดี้ ; เควิน เดอ บรอยน์, โรดรี้,อิลคาย กุนโดกัน ; ฟิล โฟเด้น, กาเบรียล เชซุส, ราฮีม สเตอร์ลิง
ลิเวอร์พูล ระบบ (4-3-3) : อลิสซง เบ็คเกอร์ ; เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โจ โกเมซ, เฟอร์กิล ฟาน ไดจ์ค, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ; จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ฟาบินโญ่, จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม ; โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่, ซาดิโอ มาเน่
ไฮไลท์การแข่งขัน