TNN ลุ้นทองคำปี 68 แตะ 3,000 ดอลล์/ออนซ์

TNN

เศรษฐกิจ

ลุ้นทองคำปี 68 แตะ 3,000 ดอลล์/ออนซ์

ลุ้นทองคำปี 68 แตะ 3,000 ดอลล์/ออนซ์

วายแอลจีลุ้นทองคำปี 2568 วิ่งขึ้นสู่เป้าหมาย 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ และคาดทองคำในประเทศแตะ 50,000 บาท/บาททองคำ จากแรงหนุน 4 ปัจจัย

นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่า ปี 2567 ถือเป็นปีแห่งประวัติศาสตร์ของทองคำหลายด้าน ทั้งการขึ้นไปทำจุดสูงสุดตลอดกาลที่ 2,790 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ คิดเป็นการเปลี่ยนแปลงจากต้นปีถึงราคาสูงสุดกว่าร้อยละ 35 


ขณะเดียวกันก็สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ในการทรงตัวอยู่ระดับสูงตลอดปีแม้ว่าช่วง 3 ไตรมาสแรก อัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะทรงตัวในระดับสูง ทำให้กลายเป็นสินทรัพย์ที่มีความต้องการในทุกภาวะตลาด


อย่างไรก็ดี ในปี 2568 แม้ว่าเปิดต้นปีมาราคาทองคำจะถือว่าทรงตัวในระดับสูง แต่มองว่าจะเป็นอีกหนึ่งปีที่ทิศทางยังอยู่ในขาขึ้น แม้ระหว่างทางจะมีแรงเทขายทำกำไรออกมาบ้าง แต่ภาพรวมยังไปได้ โดย YLG ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ระดับเดิมคือ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือคิดเป็นราคาทองคำไทยร้อยละ 96.5  มีโอกาสขึ้นแตะระดับ 50,000 บาท/บาททองคำ (หากอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่โซน 35.10-35.20 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ) เนื่องจากมองว่าในปี 2568 ปัจจัยบวกที่เคยสนับสนุนทองคำในปี 67 จะยังคงอยู่หลายปัจจัย และมีบางปัจจัยจะมีความชัดเจนมากขึ้น 


ประกอบด้วย


1. นโยบายทางด้านการเงินของกลุ่ม BRICS ที่เกิดกระแสว่าอยู่ระหว่างการเตรียมออกเงิน BRICS Currency Digital ที่มีทองคำหนุนหลัง เพื่อใช้เป็นอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศสมาชิก 


ปัจจัยนี้เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นหลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศนโยบายกำแพงภาษีแก่ประเทศที่มีความขัดแย้งและประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐ โดยเคยกล่าวไว้ว่าจะขึ้นภาษีร้อยละ 100  ในกลุ่ม BRICS หากพวกเขานำสกุลเงินที่ท้าทายอิทธิพลของดอลลาร์สหรัฐมาใช้ ดังนั้น จึงควรจับตาอย่างใกล้ชิดว่า หลังจากทรัมป์เข้ารับตำแหน่งช่วงวันที่ 20 มกราคม 2568 แล้วจะยังแสดงจุดยืนที่แข็งกร้าวเช่นเดิมหรือไม่


2. ธนาคารกลางประเทศต่างๆทั่วโลก ยังคงเดินหน้าซื้อทองคำเมื่อมีจังหวะที่เหมาะสม โดยปัจจัยนี้เกี่ยวเนื่องจากปัจจัยแรกที่ประเทศสมาชิก BRICS กำลังทำการสะสมทองคำอย่างต่อเนื่อง เช่น จีนที่กลับเข้าซื้อทองคำเมื่อปลายปี 2567 หลังจากหยุดไปเมื่อกลางปี 


โดย ณ ปัจจุบัน กลุ่ม BRICS ได้ถือครองทองคำสะสม รวมกันกว่า 5,700 ตัน หรือ คิดเป็นกว่าร้อยละ 16 ของการถือครองในธนาคารกลางทั่วโลก นอกจากนี้ธนาคารกลางประเทศอื่นๆที่ไม่ใช่สมาชิก BRICS ก็ยังคงเก็บสะสมทองคำอย่างต่อเนื่องเช่นกัน


3. ปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ แม้ว่าโดนัลด์ ทรัมป์จะประกาศว่าจะยุติสงครามได้ตั้งแต่วันแรกที่ได้รับตำแหน่ง แต่ความกังวลของนักลงทุนทั่วโลกก็ยังคงมีอยู่ และยังให้น้ำหนักกับการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยเช่นทองคำ เนื่องจากสถานการณ์ในตะวันออกกลางนั้นยังตึงเครียดอยู่เป็นระยะๆ 


4. ปัจจัยด้านอัตราดอกเบี้ยเฟด โดยแม้ว่าจะยังไม่มีความชัดเจนว่าเฟดจะมี นโยบายลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกมากแค่ไหน แต่หากอัตราดอกเบี้ยเป็นขาลงก็จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เป็นผลบวกต่อราคาทองคำ 


หรือหากเกิดเห็นสัญญาณการอ่อนแอทางเศรษฐกิจ อันส่งผลให้เฟดจำเป็นต้องเร่งลดดอกเบี้ยลงอีกครั้ง ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลบวกต่อราคาทองคำให้ปรับตัวขึ้นได้อย่างแข็งแกร่งอีกครั้ง


ข่าวแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง