"มากุโระ" ทุ่ม 200 ล้าน แตกแบรนด์ ผุดสาขาสู้แข่งเดือด l การตลาดเงินล้าน

คุณ จักรกฤติ สายสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธุรกิจร้านอาหารในประเทศจะยังคงแข่งขันกันรุนแรงต่อเนื่องอีก ในปี 2568 นี้ ซึ่งก็จะมีทั้งรายที่อยู่ได้ และรายที่อยู่ไม่ได้ ส่วนตลาดจะคึกคักจากกระแสใหม่ ๆ ที่เข้ามาทั้งโมเดลธุรกิจใหม่ คอนเซ็ปต์ใหม่ และแบรนด์ใหม่ ๆ จากต่างประเทศจะเข้ามาอีก ขณะที่อาหารไทยเอง ก็มีการเติบโตมากขึ้น ด้วยแรงสนับสนุนจากผู้บริโภคทั้งคนไทย และต่างชาติ

สำหรับแผนปี 2568 ของ มากุโระ กรุ๊ป จะเน้นการรักษาฐานลูกค้าเก่า ผ่านกลยุทธ์การทำ ซีอาร์เอ็ม ตลอดจนการควบคุมต้นทุนด้านต่าง ๆ นอกจากนี้ จะปรับตัวให้เข้ากับสภาวะการแข่งขัน เนื่องจากพบว่าผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว และความจงรักภักดีในแบรนด์ก็จะอ่อนลงไปด้วย ดังนั้น บริษัทฯ จะเน้นกระจายธุรกิจ โดยไม่พึ่งพาแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง รวมถึงมุ่งจับกลุ่มตลาดใหม่ ๆ และอาหารกลุ่มใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นทั้งในปีหน้า และในปีถัดๆ ไป

นอกจากนี้ ยังวางงบลงทุนไว้ประมาณ 150-200 ล้านบาท เพื่อใช้ในการขยายสาขาใหม่ 13 สาขา เบื้องต้นจะเน้นเปิดในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลก่อน และจะเติมแบรนด์ใหม่เข้ามาเพิ่มขึ้นอีก 2 แบรนด์ 

ส่วนในปี 2567 คาดว่าบริษัทฯ จะเติบโตได้ที่ร้อยละ 30 จากการเปิดสาขาใหม่ทั้งสิ้น 13 สาขา ถือเป็นการขยายสาขามากที่สุดนับตั้งแต่ดำเนินธุรกิจมา 8-9 ปี รวมสาขาในปัจจบันมี 38 สาขา จาก 5 แบรนด์ ได้แก่ มากุโระ (MAGURO) เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นและซูชิ ถัดมาคือ ซัมธิง ทูเก็ตเตอร์ (SSAMTHING TOGETHER) ที่เป็นร้านปิ้งย่างสไตล์เกาหลี และ ฮิโตริ ชาบู (HITORI SHABU) ร้านชาบู และสุกี้ยากี้

อีก 2 แบรนด์ ที่เพิ่งเปิดตัวในเดือนธันวาคม แบรนด์แรกคือ ทงคัตซึ อาโอกิ (Tonkatsu AOKI) ร้านหมูทอดทงคัตสึชื่อดัง จากญี่ปุ่น ถือเป็นแบรนด์แรกที่เป็นการนำเข้ามาในลักษณะสัญญาแฟรนไชส์ และอีกร้านคือ คุคูว์ (CouCou)

ซึ่งคุณ จักรกฤติ บอกว่า ร้าน คุคูว์ ถือเป็นการฉีกแนวธุรกิจออกมา จากเดิมที่เน้นร้านอาหารญี่ปุ่นและเกาหลี มาเป็นร้านอาหารในรูปแบบ ออล เดย์ ไดนิ่ง (All-Day Dining) สไตล์ตะวันตก เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าพรีเมียม และพรีเมียมแมส เพื่อขยายฐานลูกค้าของบริษัทให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น