TNN ไขความลับ "มารายห์ แครี" ราชินีคริสต์มาสที่ทำเงินได้ทุกปี l การตลาดเงินล้าน

TNN

เศรษฐกิจ

ไขความลับ "มารายห์ แครี" ราชินีคริสต์มาสที่ทำเงินได้ทุกปี l การตลาดเงินล้าน

ไขความลับราชินีคริสต์มาส "Mariah Carey" ตลอด 30 ปี มีรายได้เท่าไหร่จากเพลง "All I Want For Christmas Is You" ที่กลายเป็นเครื่องผลิตเงินให้ทุกปี

ซีเอ็นบีซี รายงานว่า การได้ยินเพลง "All I Want for Christmas Is You" ในทุกเทศกาลคริสต์มาสของทุกปี จะไม่ใช่แค่การฟังเพลงแล้วเท่านั้น แต่ยังจะมีการตั้งคำถามที่เจาะลึกลงไปในมุมเศรษฐศาสตร์ของอุตสาหกรรมเพลงด้วยว่า เพลงดังกล่าวที่เสมือนเป็นเครื่องผลิตเงิน นี้ สร้างรายได้ให้กับ มารายห์ แครี ศิลปินที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น ราชินีคริสต์มาส (Queen of Christmas) เป็นมูลค่าเท่าไหร่ในแต่ละปี

ซึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ สปอติฟาย (Spotify) ประกาศว่าเพลง "All I Want for Christmas Is You" เป็นเพลงเทศกาล เพลงแรก ที่มียอดสตรีมทั่วโลกมากกว่า 2,000 ล้านครั้ง และเป็นเพลงอันดับ 1 ทั่วโลกในวันคริสต์มาสของทุกปี นับตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา

และตามข้อมูลของ Luminate ที่ติดตามข้อมูลของอุตสาหกรรมเพลง พบว่า ความนิยมของเพลงดังกล่าวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยยอดสตรีมเพลงในสหรัฐอเมริกา ในปี 2023 มีจำนวน 249 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 49 จากปี 2019 ที่มียอดสตรีมเพลงอยู่ที่ 167 ล้านครั้ง 

ด้าน จอร์จ ฮาวเวิร์ด (George Howard) อาจารย์จากวิทยาลัยดนตรี เบิร์กลี (Berklee College of Music) และอดีตประธานค่ายเพลงอิสระที่ชื่อว่า ไรโคดิสค์ (Rykodisc) กล่าวว่า เพลงดังกล่าว เป็นเหมือนเครื่องผลิตเงิน และสร้างปรากฏการณ์ที่แท้จริงให้กับอุตสาหกรรมเพลง ฮาวเวิร์ด ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านการประเมินมูลค่าลิขสิทธิ์เพลง ประมาณการด้วยว่า เพลงที่ติดอันดับชาร์ต จะทำรายได้รวมต่อปีอยู่ที่ประมาณ 2 ถึง 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ในทำนองเดียวกัน ทางสำนักงานกฎหมาย มาแนตต์ เฟลป์ส แอนด์ ฟิลิปป์ส (Manatt, Phelps & Phillips) ที่เชี่ยวชาญด้านกฎหมายอุตสาหกรรมเพลง คาดว่าเพลงดังกล่าวทำรายได้ต่อปี อยู่ที่ราว ๆ 3 ล้าน 4 แสน ดอลลาร์สหรัฐฯ และประมาณการว่าตลอดระยะเวลา 30 ปีของเพลงดังกล่าว ได้ทำรายได้อยู่ที่ประมาณ 103 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งคาดการณ์นี้ รวมถึงแหล่งรายได้จากการสตรีมทั่วโลก และรายได้ที่ไม่ใช่การสตรีมเพลงไว้ด้วย 

ดังนั้น การที่เพลงดังกล่าวมียอดสตรีมจาก สปอติฟาย ทั่วโลกกว่า 2,000 ล้านครั้ง ตามการคำนวณคร่าว ๆ ก็คาดว่าจะมีรายได้จากค่าลิขสิทธิ์อยู่ที่ประมาณ 9 ล้าน 8 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ แต่สำหรับตัวศิลปิน (มารายห์ แครี) จะได้รับเพียงส่วนหนึ่งของรายได้เท่านั้น ขณะที่ ส่วนแบ่งอื่น ๆ จะไหลเข้าไปสู่ผู้มีส่วนสนับสนุนของเพลงอีกหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น นักแต่งเพลง นักร้อง โปรดิวเซอร์ ผู้ควบคุมเสียง (sound mixers) และค่ายเพลง เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การแบ่งรายได้ อาจแตกต่างกันออกไปในแต่ละเพลง ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขในสัญญา ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ นาตาชา ชี (Natasha Chee) ทนายความด้านดนตรี ความบันเทิง และทรัพย์สินทางปัญญา และเป็นที่ปรึกษาอาวุโส จากสำนักงานกฎหมาย โดนาทู ฟิตซ์เจอรัลด์ (Donahue Fitzgerald) บอกว่า เป็นเรื่องยากมากที่สรุปออกมาเป็นตัวเลขที่แน่ชัดได้ เพราะต้องขึ้นอยู่กับรายละเอียดในสัญญาระหว่าง แครี, ค่ายเพลง และเจ้าของลิขสิทธิ์เพลง ซึ่งไม่ได้มีการเปิดเผยต่อสาธารณะ แต่ไม่ว่าจะมีรายละเอียดอย่างไร มันก็เป็นเงินจำนวนมหาศาล อยู่ดี

นอกจากนี้ ฮาวเวิร์ด อาจารย์จากวิทยาลัย ดนตรี เบิร์กลี คาดการณ์อีกว่า มารายห์ แครี น่าจะมีรายได้ก้อนโต มากกว่าศิลปินส่วนใหญ่ เพราะเธอ มีเครดิต ในหลายส่วนจากเพลงดังกล่าว เช่น เธอถูกระบุเป็นศิลปินคนเดียวในเพลงนี้ รวมถึง เป็นผู้ร่วมประพันธ์เพลง และยังเป็นโปรดิวเซอร์ร่วม (co-producer) อีกด้วย

การที่เธอมีผลงานมากมายขนาดนี้ ถือเป็นเรื่องไม่ธรรมดา และนั่นคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ แครี ได้รับค่าตอบแทนสูงที่สุด เนื่องจากค่าลิขสิทธิเพลง จะแตกต่างจากค่าลิขสิทธิ์หนังสือ และภาพถ่าย เพราะเพลงจะมีค่าลิขสิทธิ์อยู่ 2 ประเภทที่แตกต่างกัน นั่นคือ ค่าลิขสิทธิ์สำหรับการแต่งเพลง และอีกประเภทคือ ค่าลิขสิทธิสำหรับการบันทึกเสียง

โดย ฮาวเวิร์ด กล่าวอีกว่า แต่ละเพลงจะมีโครงสร้างค่าลิขสิทธิ์เป็นของตัวเองที่แตกต่างกัน ซึ่ง ค่าลิขสิทธิ์ในการแต่งเพลงเป็นของนักแต่งเพลงและผู้ดูแลลิขสิทธิ์(ค่ายเพลง) ส่วนค่าลิขสิทธิ์ในการบันทึกเสียงจะจ่ายให้กับนักร้อง และค่ายเพลง ดังนั้น สำหรับ แครี จะได้รับเงินจากทั้ง 2 ส่วน คือทั้งค่าลิขสิทธิในเพลง และการบันทึกเสียง 

นอกจากนี้ นักแต่งเพลงและค่ายเพลง ซึ่งไม่รวมศิลปิน จะได้รับค่าลิขสิทธิ์ เมื่อเพลงถูกเล่นในพื้นที่สาธารณะ เช่น ทางทีวี วิทยุ หรือในร้านอาหาร ร้านค้าปลีก โดยสหรัฐอเมริกา เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่มีกฎหมายดังกล่าว นั่นหมายความว่า แครี และ ผู้ร่วมแต่งเพลงนี้อีกราย คือ อาฟานาซีฟฟ์ จะได้รับเงินค่าลิขสิทธิ์ทุกครั้งที่มีการเล่นเพลงคัฟเวอร์ ในพื้นที่สาธารณะ ซึ่งทั้ง 2 คน จะแบ่งเครดิตจากเพลงดังกล่าวให้กับค่ายเพลงด้วย

ด้าน ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า โดยทั่วไปแล้ว การอัดเพลง จะสร้างรายได้ให้มากกว่าการแต่งเพลงประมาณ 4-5 เท่า  โดยรายได้จากการอัดเพลงของศิลปิน จะขึ้นอยู่กับสัญญา มีได้ตั้งแต่ร้อยละ 20 ไปจนถึงร้อยละ 90 

นอกจากนี้ ซีเอ็นบีซี รายงานอีกว่า ตามประมาณการรายได้ของ บิลบอร์ด เผยว่า ปี 2022 แครี อาจมีรายได้อยู่ที่ ประมาณ 2 ล้าน 7 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ ถึง 3 ล้าน 3 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นรายได้จากการดาวน์โหลดเพลง และการสตรีมเพลงเท่านั้น ยังไม่รวมแหล่งรายได้อื่น ๆ ที่เธอสามารถทำได้ในช่วงเทศกาลคริสมาต์นี้ด้วย เช่น ไปออกรายการพิเศษทางทีวีที่เกี่ยวกับคริสต์มาส

โดย บิลบอร์ด รายงานว่า รายได้จากทั่วโลก และค่าลิขสิทธิ์การเผยแพร่ของเพลง "All I Want for Christmas Is You" ที่ได้รับในปี 2022 นั้น รวมอยู่ที่ประมาณ 8 ล้าน 5 แสน ดอลลาร์ ซึ่งแบ่งออกได้เป็น การบันทึกเสียงต้นฉบับ จะมีรายรับอยู่ที่ 5 ล้าน 3 แสน ดอลลาร์ และค่าลิขสิทธิ์การเผยแพร่ คิดเป็น 3 ล้าน 2 แสนดอลลาร์ 

สำหรับ แครี ที่เป็นศิลปิน จะมีส่วนแบ่งรายได้จากการบันทึกเสียงต้นฉบับอยู่ที่ราว 1 ล้าน 9 แสนดอลลาร์ ขณะที่ค่ายเพลงอย่าง โซนี่ เก็บรายได้ที่ 3 ล้าน 4 แสนดอลลาร์ แต่แครี่ ยังมีรายได้จากค่าการเผยแพร่อีกราว 1 ล้าน 6 แสนดอลลาร์ โดยเธอและ อาฟานาซีฟฟ์ จะแบ่งค่าเขียนเพลงคนละครึ่ง 

อย่างไรก็ตาม รายได้ที่เธอจะได้รับนั้นอาจจะน้อยกว่านี้ ขึ้นอยู่กับข้อตกลงกับทางค่าย ซึ่งอาจอยู่ระหว่าง 795,000 ดอลลาร์ ถึง 1 ล้าน 4 แสน ดอลลาร์ แต่เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้ว จากประมาณการเหล่านี้ บ่งชี้ว่า ปี 2022 แครี อาจได้รับรายได้อยู่ที่ประมาณ ประมาณ 2 ล้าน 7 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ ถึง 3 ล้าน 3 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งไม่รวมรายได้จากการออกโชว์ตัวในรายการพิเศษทางทีวี ในช่วงคริสต์มาส ซึ่งคาดน่าจะทำกำไรได้มากอีก ขณะเดียวกัน ก็ยังไม่รวมรายได้จากค่า คัฟเวอร์ เพลงดังกล่าวด้วย 

ด้าน บลอมลีย์ (Bromley) จาก มาแนตต์ เอนเตอร์เทนเมนต์ (Manatt Entertainment) กล่าวว่า ยังมีช่องทางรายได้มากมายสำหรับ ป๊อปสตาร์ รายนี้ ที่มีความเชื่อมโยงเกี่ยวกับเทศกาลคริสต์มาส จึงทำให้มีโอกาสอื่น ๆ ด้วย อย่างเช่น การเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้า อย่างเครื่องสำอาง ของใช้ในบ้าน และเสื้อผ้า รวมถึงการโชว์ตัวในรายการต่าง ๆ

นอกจากนี้ เพลง "All I Want for Christmas Is You ยังจะเป็นของขวัญวันคริสต์มาสที่มอบให้ไปอีกนาน ซึ่งสำนักงานกฎหมาย โดนาทู ฟิตซ์เจอรัลด์ ให้ข้อมูลว่า ลิขสิทธิสำหรับผลงานเพลงที่เผยแพร่หลังวันที่ 1 มกราคม 1978 จะมีผลบังคับใช้ตลอดอายุขัยของผู้ประพันธ์ และบวกไปอีก 70 ปีหลังจากผู้ประพันธ์เสียชีวิต 

ส่วนกรณีที่เป็นผลงานร่วมกันของผู้ประพันธ์ 2 คนขึ้นไป เช่น เพลง "All I Want for Christmas Is You" ตามกฎหมายจะถูกนับจากผู้ประพันธ์คนสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ และด้วยกฎหมายดังกล่าว ทำให้เพลงนี้จะทำเงินที่เป็นรายได้ต่อเนื่องให้กับ มารายห์ แครี ไปอีกนานหลายทศวรรษทีเดียว รวมทั้งเป็นมรดกตกทอดได้อีกด้วย จนกว่าเพลงจะตกเป็นสมบัติของสาธารณะในที่สุด 

และเมื่อสิ่งนั้น เกิดขึ้น เพลงดังกล่าวก็จะเข้าไปอยู่ในอันดับเดียวกับเพลงคริสต์มาสคลาสสิก อย่าง จิงเกิล เบลส์ (Jingle Bells) และ วี วิช ยู อะ แมรี คริสต์มาส (We Wish You a Merry Christmas) ซึ่งโดยทั่วไปแล้วสามารถแบ่งปันและดัดแปลงได้อย่างอิสระ 

ทั้งนี้ เมื่อย้อนกลับไปเมื่อช่วงต้นทศวรรษ 1990 "มารายห์ แครี" ประสบความสำเร็จอย่างมากจากอัลบัมชุดที่ 3 ของเธอ คือ มิวสิค บ็อกซ์ (Music Box) ที่มียอดจำหน่ายมากกว่า 30 ล้านก๊อปปี้ ทั่วโลก 

ต่อมาปี 1994 แครี และ วัลเตอร์ อาฟานาซิฟฟ์ (Walter Afanasieff) ได้รับมอบหมายให้สร้างสรรค์เพลงคริสต์มาสต้นฉบับอย่างน้อย 1 เพลง ซึ่งพวกเขารายงานว่า สามารถสร้างสรรค์และแต่งเนื้อเพลง All I Want for Christmas Is You ได้เสร็จภายในเวลาไม่ถึง 15 นาที 

โดย อัลบัม แมรี คริสต์มาส (Merry Christmas) เปิดตัวเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 1994 และออกจำหน่ายอัลบัมในเดือนถัดมา 

และเมื่อสตรีมมิงเติบโตขึ้น เพลงคริสต์มาสได้รับความนิยมมากขึ้นในเพลย์ลิสต์ของบริการสตรีมมิง ทำให้เพลง All I Want for Christmas Is You ไต่ขึ้นไปอยู่ใน 10 อันดับแรกของชาร์ต Hot 100 เป็นครั้งแรกในเดือนธันวาคม 2017 จากนั้นก็ไต่อันดับขึ้นต่อเนื่อง ทำให้เพลงดังกล่าว กลายเป็นเพลงคริสต์มาสคลาสสิกของยุคปัจจุบัน 

นอกจากนี้ ตามรายงานข่าว ระบุว่า มารายห์ แครี มีทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ประมาณ 350 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเป็นศิลปินเพลงที่มียอดขายดีที่สุดคนหนึ่ง โดยมียอดขายมากกว่า 220 ล้านก๊อปปี้ ทั่วโลก


ข่าวแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง