TNN "ทรัมป์" ? ทำเศรษฐีอเมริกันอยากย้ายประเทศพุ่ง l การตลาดเงินล้าน

TNN

เศรษฐกิจ

"ทรัมป์" ? ทำเศรษฐีอเมริกันอยากย้ายประเทศพุ่ง l การตลาดเงินล้าน

เศรษฐีชาวอเมริกัน ต้องการย้ายถิ่นฐานเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ และกำลังวางแผนออกนอกประเทศหลังการเลือกตั้ง และมองว่าการเป็นพลเมืองของประเทศใด ประเทศเดียวเป็นความเสี่ยง

สำนักข่าว ซีเอ็นบีซี รายงานผลสำรวจของ Arton Capital บริษัทที่ปรึกษาเกี่ยวกับการวางแผนการย้ายถิ่นฐานให้แก่ผู้มีฐานะร่ำรวย ที่สำรวจกลุ่มเศรษฐีชาวอเมริกัน ช่วงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา พบว่า ร้อยละ 53 ของเศรษฐีชาวอเมริกัน มีแนวโน้มที่จะย้ายถิ่นฐานออกจากสหรัฐอเมริกา หลังการเลือกตั้ง ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะก็ตาม

ร้อยละ 64 ของเศรษฐีที่มีอายุระหว่าง 18 ปี ถึง 29 ปี บอกว่า สนใจยื่นสมัคร Golden Visas ซึ่งเป็นการให้สิทธิกับชาวต่างชาติผู้มั่งคั่ง ให้สามารถพำนักระยะยาวและทำงานในประเทศผู้ให้สิทธิได้ เพื่อแลกกับเงินลงทุนตามที่แต่ละประเทศกำหนด

รายงานข่าว ระบุว่า นับตั้งแต่การระบาดของโควิด 19 ความสนใจต่อการมีหนังสือเดินทางเล่มที่ 2 หรือการมีบ้านหลังที่สองในประเทศอื่นเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในหมู่คนรวยชาวอเมริกัน ไม่ว่าจะเป็นการเกษียณอายุและไปอยู่ในประเทศที่มีอากาศอบอุ่นกว่า ราคาถูกกว่า หรือได้อยู่อาศัยใกล้ชิดกับครอบครัวในต่างประเทศ รวมทั้งเหตุผลอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง 

ซึ่งในบรรดาเศรษฐี คิดว่าการเป็นพลเมืองในประเทศหนึ่ง ประเทศเดียว เป็นความเสี่ยงเฉพาะบุคคล และเป็นความเสี่ยงทางการเงินหากกระจุกตัวอยู่ในประเทศเดียว เช่นเดียวกับการกระจายการลงทุนออกไปยังต่างประเทศ พวกเขากำลังสร้าง พอร์ตโฟลิโอหนังสือเดินทาง เพื่อป้องกันความเสี่ยงในประเทศของตน และมีจำนวนมาก ต้องการหนังสือเดินทางที่ไม่ใช่ของสหรัฐอเมริกาไว้สำหรับกรณีการเดินทางไปยังประเทศ หรือภูมิภาค ที่มีความเสี่ยงต่อชาวอเมริกัน

อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งและบรรยากาศทางการเมืองที่ทวีความร้อนแรง ได้เพิ่มแรงผลักดันต่อผู้มีความมั่งคั่งเหล่านี้ให้มีการพิจารณา แพลน บี (แผนสอง) ในต่างประเทศ มากขึ้น

ซีเอ็นบีซี รายงานด้วยว่า นักกฎหมายและบริษัทดูแลทรัพย์สินของครอบครัวเศรษฐี เห็นความต้องการของลูกค้าเพิ่มขึ้น ที่กำลังมองหาหนังสือเดินทางเล่มที่สอง หรือถิ่นพำนักระยะยาวในต่างประเทศ ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นเป็นประวัติการณ์ และแม้ว่า หลายครั้งที่ผ่านมา จะมีการพูดถึงการย้ายไปต่างประเทศหลังการเลือกตั้งอยู่บ่อยครั้ง แต่ในรอบนี้ พบว่า มีความจริงจังในการดำเนินการมากขึ้น

Dominic Volek หัวหน้ากลุ่มลูกค้าส่วนบุคคลของ Henley & Partners กล่าวว่า ไม่เคยเห็นความต้องการเหมือนอย่างที่เกิดขึ้นในขณะนี้มาก่อน ซึ่ง เฮนลีย์ แอนด์ พาร์ตเนอร์ส เป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านการย้ายถิ่นฐานระหว่างประเทศ

โวเลค บอกอีกว่า เป็นครั้งแรกที่เศรษฐีชาวอเมริกัน เป็นฐานลูกค้าที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทฯ มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 20 ของธุรกิจของบริษัทฯ ซึ่งสูงกว่าเศรษฐีสัญชาติอื่น ๆ และพบว่า ปีนี้ จำนวนชาวอเมริกันที่วางแผนย้ายไปต่างประเทศ เพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อยร้อยละ 30 จากปีที่แล้ว

ในทิศทางเดียวกัน David Lesperance หุ้นส่วนบริษัทจัดการด้านภาษีและการย้ายถิ่นฐานระหว่างประเทศ Lesperance and Associates บอกว่า ลูกค้าชาวอเมริกันที่ต้องการย้ายไปต่างประเทศ มีจำนวนเพิ่มขึ้นประมาณ 3 เท่าจากปีที่แล้ว และหลังการเลือกตั้งเชื่อว่า น่าจะมีเพิ่มขึ้นอีก

โดยบอกด้วยว่า เป็นเวลากว่า 3 ทศวรรษแล้วที่ลูกค้าชาวอเมริกัน สนใจที่จะย้ายไปต่างประเทศโดยมีเหตุผลหลักคือ เรื่องภาษี และความกังวลในเรื่องความรุนแรง แต่ก็ดูเหมือนว่า การเลือกตั้งทำให้มีความกังวลมากขึ้น

บางคน ไม่อยากอยู่ภายใต้นโยบาย MAGA America หรือ Make America Great Again หรือ ทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง สโลแกนหาเสียงอันโด่งดังของ โดนัลด์ ทรัมป์ ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2016 และการเลือกตั้งในปี 2024 นี้ ก็ถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง ส่วนบางคน กังวลเกี่ยวกับความรุนแรง 

และบางคนก็ไม่ชอบใจนักกับนโยบายด้านภาษีของ กมลา แฮริส (Kamala Harris) ที่เสนอแผนการเก็บภาษีจากกำไรจากการลงทุน สำหรับบุคคลที่มีสินทรัพย์รวมมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แม้จะยังไม่ได้ขายสินทรัพย์นั้น ก็ตาม แม้ว่านักวิเคราะห์ด้านภาษี จะคาดว่าแผนดังกล่าว มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก แต่ในบรรดาผู้มีความมั่งคั่งก็ต้องการที่จะป้องกันความเสี่ยงในเรื่องนี้ไว้ก่อน

ส่วนเหตุผลอื่น ๆ คนรวยอเมริกัน ยังอ้างถึงเหตุการณ์ การกราดยิงในโรงเรียน, ความเสี่ยงต่อความรุนแรงทางการเมือง, การต่อต้านชาวยิว, การต่อด้านศาสนาอิสลาม และหนี้สินของรัฐบาลที่พุ่งสูงขึ้น เป็นต้น 

สำหรับจุดหมายปลายทาง หรือประเทศที่บรรดาเศรษฐีอเมริกันกำลังมองหา ส่วนใหญ่เป็นประเทศในยุโรป ซึ่งตามข้อมูลของ เฮนลีย์ แอนด์ พาร์ตเนอร์ส ระบุว่า ประเทศอันดับต้น ๆ ของชาวอเมริกันที่กำลังมองหา เป็นบ้านหลังที่สอง หรือสัญชาติที่สอง ได้แก่ โปรตุเกส, มอลตา, กรีซ, สเปน และแอนติกา (ซึ่ง แอนติกา เป็นประเทศขนาดเล็กในทะเลแคริบเบียน)

โดย Armand Arton จาก Arton Capital กล่าวว่า ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างชาวอเมริกันและยุโรปเกิดขึ้นมานานแล้ว แต่การจะย้ายถิ่นฐานก็ต้องมาพร้อมกับราคาที่ต้องจ่าย ซึ่งพวกเขา ยินดีที่จะลงทุนด้วยมูลค่า 200,000 ถึง 300,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรืออาจจะเป็น ครึ่งล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือกองทุน

อย่างไรก็ตาม กฎเกณฑ์และค่าใช้จ่ายเหล่านี้ กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางประเด็น การย้ายถิ่นฐาน ซึ่งกลายเป็นประเด็นทางการเมืองที่ร้อนแรงไปทั่วโลก เช่น นักการเมืองบางคนในยุโรปเริ่มต่อต้านการให้ โกลเดน วีซ่า (วีซ่า ทองคำ) ที่ให้สถานะพลเมือง หรือถิ่นพำนักแก่คนรวยโดยอิงจากการลงทุนเพียงอย่างเดียว 

โดย โปรตุเกส กำลังเผชิญกับการคัดค้านอย่างรุนแรง หลังจากชาวต่างชาติจำนวนมากหลั่งไหลเข้าไปใน Algarve (อัลการ์วี-ภูมิภาคทางใต้สุดของประเทศโปรตุเกส) และซื้ออสังหาริมทรัพย์ริมชายหาด ภายใต้โครงการวีซ่าทองคำ แต่นั่น ทำให้ราคาบ้านพุ่งสูงขึ้นถึงร้อยละ 15 รัฐบาลจึงต้องเปลี่ยนหลักเกณฑ์ใหม่ ด้วยการเพิ่มเกณฑ์การลงทุนขั้นต่ำ และตัดอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย เป็นประเภทการลงทุน ออกไป

ด้าน อิตาลี ในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา ได้ปรับเพิ่มอัตราภาษีแบบคงที่ของรายได้จากต่างประเทศ เป็น 2 เท่า สำหรับผู้มีรายได้สูงที่ย้ายถิ่นพำนักเข้ามาในประเทศ จากเดิม 100,000 ยูโร เป็น 200,000 ยูโร หรือราว 217,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดขึ้น หลังจากเศรษฐีแห่กันอพยพเข้าไปในประเทศ จนผลักดันราคาบ้านในมิลาน ให้ปรับสูงขึ้น

สำหรับ มอลตา โครงการมอบสัญชาติภายใต้เงื่อนไขการลงทุน มีมูลค่าสูงถึง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปจนถึง 1 ล้าน 2 แสน ดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อแลกกับการเป็นพลเมือง และการเดินทาง อยู่อาศัยอย่างไม่จำกัด และขยายไปในสหภาพยุโปด้วย ทำให้ปัจจุบัน มอลตา ก็ยังคงเป็นเป้าหมายของการมีหนังสือเดินทางฉบับที่ 2 ของเศรษฐีอเมริกัน อย่างไรก็ตาม สหภาพยุโรปกำลังคัดค้านกับโปรแกรมของมอลตา แต่นักกฎหมายและที่ปรึกษาด้านการย้านถิ่นฐาน คาดหวังว่ามอลตา จะชนะในเรื่องนี้ 

สำหรับ ประเทศในทะเลแคริบเบียน กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ของชาวอเมริกัน ที่ต้องการเพียงหนังสือเดินทางเล่มที่ 2 โดยลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ตามที่ทางการ แอนติกา และ บาร์บูดา กำหนด ในราคามากกว่า 300,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อแลกกับการเป็นพลเมือง ที่มีอิสระในการเดินทางไปยัง ฮ่องกง, รัสเซีย, สิงคโปร์, สหราชอาณาจักร และยุโรป รวมถึงอื่น ๆ อีกหลายประเทศ

นอกจากนี้ ชาวอเมริกันที่มีเชื้อสายในไอร์แลนด์ อิตาลี และอีกหลายสิบประเทศ ก็ยังสามารถยื่นขอ Lineage Citizenship ได้ ซึ่งหมายถึงการให้สัญชาติจากเชื้อสายของบุคคลนั้น ๆ โดยทั่วไปจะมีราคาถูกกว่าวีซ่าการลงทุนของบางประเทศ

อย่างไรก็ตาม นักกฎหมาย บอกด้วยว่า อย่าคาดหวังว่าจะได้รับสัญชาติหรือถิ่นที่อยู่ในทันทีที่ร้องขอ เนื่องจากปัจจุบันมีผู้สมัครอยู่จำนวนมาก ทำให้ต้องมีการตรวจสอบประวัติ และการอนุมัติของแต่ละประเทศก็มีรายละเอียดที่แตกต่างกันมาก ซึ่งกระบวนการอาจใช้เวลาเป็นเดือน หรือเป็นปี หรือมากกว่านั้น

ข่าวแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง