TNN "BYD" จ่อแซง "Tesla" แชมป์ขาย BEV l การตลาดเงินล้าน

TNN

เศรษฐกิจ

"BYD" จ่อแซง "Tesla" แชมป์ขาย BEV l การตลาดเงินล้าน

มีลุ้นว่า BYD จะมียอดขายรถ BEV แซงหน้า Tesla ได้อีกครั้ง หลังเคยทำได้เมื่อไตรมาส 4 ปีที่แล้ว ส่วนรายได้ BYD แซงหน้าเป็นครั้งแรกในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา

สัปดาห์ที่ผ่านมา BYD รายงานยอดขายรถยนต์พลังงานใหม่ ประจำเดือนตุลาคม 2024 โดยทำสถิติใหม่อีกครั้ง ด้วยยอดขายรายเดือนทะลุ 500,000 คัน หรือเกินครึ่งล้าน เป็นครั้งแรก และยังทำลายสถิติด้านยอดขายติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 ทำให้ขณะนี้ BYD มีโอกาสเบียดแซง Tesla ได้อีกครั้ง ในการแชมป์ด้านยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าล้วน หรือ บีอีวี ของไตรมาส 4 ปีนี้ 

โดย BYD มียอดขายรถยนต์พลังงานใหม่ เดือนตุลาคม รวมทั้งสิ้น 502,657 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า ร้อยละ 66.5 และเมื่อเทียบกับเดือนกันยายน ของปีเดียวกัน คิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.8

แบ่งเป็น รถยนต์ประเภทปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) จำนวน 310,912 คัน และรถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ (BEV) จำนวน 189,614 คัน โดยพบว่ายอดขาย PHEV เพิ่มขึ้นอย่างมากจากความต้องการที่พุ่งสูงขึ้น

ด้านสื่อเว็บไซต์ อิเล็กเทรก รายงานว่า ไตรมาส 4 ปีที่แล้ว BYD เคยมียอดขายรถ บีอีวี แซงหน้า Tesla ไปได้แล้ว แต่พอเข้าปี 2024 Tesla ก็กลับมายึดตำแหน่งเดิมได้อีกครั้ง แต่เชื่อว่าอีกไม่นานเกินรอ ที่ BYD จะเบียดแซงหน้าได้อีกครั้ง ในไตรมาส 4 ของปีนี้  

ซึ่งปกติ ไตรมาส 4 จะเป็นช่วงที่แข็งแกร่งที่สุดของยอดขายรถ อีวี ในจีน หาก BYD สามารถรักษายอดขายของอีก 2 เดือนที่เหลือของปี (คือเดือนพฤศจิกายน และธันวาคม) ให้ได้ใกล้เคียงหรือเท่ากับเดือนตุลาคม จะทำให้มีโอกาสที่ยอดขายจะแซงหน้า Tesla ไปได้ เป็นครั้งที่สอง

โดยคาดว่า BYD จะมียอดขายสำหรับไตรมาส 4 ปีนี้ เป็นจำนวนสูงถึง 568,842 คัน แต่สำหรับ Tesla ตามรายงานของบริษัทฯ เอง ที่คาดว่า ยอดส่งมอบทั้งปีจะอยู่ที่ประมาณ 1.808 ล้านคัน นั่นเท่ากับว่า ในไตรมาส 4 Tesla จะส่งมอบรถได้ 515,000 คัน หรือมากกว่า และหากเป็นไปตามนี้ จะทำให้ BYD จะมียอดขายเหนือว่า Tesla อย่างแน่นอน

ขณะที่ผลสำรวจนักวิเคราะห์ใน วอลล์ สตรีท ของ FactSet คาดการณ์เป็นเอกฉันท์ว่า Tesla น่าจะทำได้ต่ำกว่าเป้าหมาย หรืออยู่ที่ราว 505,000 คัน เท่านั้น

อย่างไรก็ดี Tesla จะไม่มีรายงานยอดขายแบบรายเดือน แต่มีรายงานเป็นรายไตรมาส ซึ่งกว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะแน่ชัด ต้องรอจนกว่าจะสิ้นไตรมาส 4 หรือสิ้นปี และมีการรายงานผลออกมาอีกครั้ง

ก่อนหน้านี้ไม่นาน BYD รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 สิ้นสุดเดือนกันยายน ปี 2024 ปรากฎว่า BYD มีรายรับจากการขายรถยนต์ไฟฟ้า แซงหน้า Tesla ได้เป็นครั้งแรก 

โดย BYD บันทึกรายได้อยู่ที่กว่า 201,100 ล้านหยวน หรือคิดเป็น 28,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนไตรมาสเดียวกันนี้ Tesla รายงานยอดขายน้อยกว่า มีมูลค่าอยู่ที่ 25,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ด้าน บิซิเนส อินไซเดอร์ รายงานว่า บีวายดี ยังคงเติบโต และทำให้ Tesla ของ อีลอน มัสก์ ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ BYD ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ของ จีน ยังคงเฟื่องฟูต่อไปนั้น มีเหตุผลอยู่ 5 ข้อ ดังนี้

ข้อแรกคือ ราคาที่เข้าถึงได้ โดย BYD ขึ้นชื่อในด้านรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูก และเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ยังสร้างแรงกระเพื่อมให้กับตลาด ด้วยการลดราคารถแฮทช์แบ็ก รุ่น ซีกัล(Seagull) ในราคาต่ำกว่า 10,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ได้เปรียบจากคู่แข่ง ซึ่งรุ่นที่ถูกที่สุดของ Tesla ในจีน คือ Model 3 จำหน่ายอยู่ที่ราคา 32,600 ดอลลาร์สหรัฐฯ

ข้อที่สองคือ การขยายสู่ตลาดรถหรู BYD นอกจากจะมีรถยนต์ราคาถูกแล้ว ยังขยายไปสู่กลุ่มรถยนต์หรูอีกด้วย โดยเมื่อปีที่แล้ว ได้เปิดตัว Yangwang U8 (หย่างว่าง ยู8) ซึ่งเป็น เอสยูวี พรีเมียม มูลค่า 150,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มาพร้อมกับโดรนติดตัว รวมถึงการเปิดตัวซูเปอร์คาร์ คันแรก Yangwang U9 ในราคา 1.68 ล้านหยวน หรือราว 235,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งการขยับเข้าสู่ตลาดพรีเมียม ของผู้ผลิตรถยนต์จีน ได้สร้างแรงกดดันต่อยักษ์ใหญ่ในยุโรปด้วย เช่น Mercedes และ BMW เป็นต้น

ข้อถัดมา คือการขยายตลาดไปทั่วโลก โดย BYD ได้เริ่มขยายธุรกิจอย่างทะเยอทะยานในปีนี้ เพื่อกระตุ้นยอดขายนอกประเทศจีน ซึ่งทางผู้บริหารบอกว่า ในอนาคตต้องการจะให้ยอดขายครึ่งหนึ่งของ BYD มาจากต่างประเทศ และแม้ว่า กำแพงภาษีจากทั้งสหรัฐฯ และยุโรป จะสร้างปัญหาให้กับบริษัทฯ ในภูมิภาคนั้น ๆ แต่ BYD ก็กำลังจัดตั้งโรงงานทั่วโลกอย่างรวดเร็ว เพื่อลดต้นทุนและหลีกเลี่ยงอุปสรรคทางการค้า และนอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นไปที่ตลาดเกิดใหม่ เช่น เม็กซิโก และบราซิล

ข้อถัดมา คือ การมีรถยนต์ไฮบริด ส่วนสำคัญของความสำเร็จของ BYD ซึ่งต่างจากคู่แข่งอย่าง Tesla ก็คือ การมีรถไฮบริด โดย BYD นำเสนอรถยนต์ไฮบริดหลากหลายรุ่น ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในจี

และข้อ 5 เหตุผลข้อสุดท้ายที่จะทำให้ BYD ยังทะยานไปข้างหน้า ก็คือ การมีห่วงโซ่อุปทานแบบบูรณาการในแนวตั้ง ถือเป็นหัวใจของ BYD ก็ว่าได้ ที่สามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้ในราคาถูก เนื่องจาก บริษัทฯ พยายามผลิตส่วนประกอบเกือบทุกชิ้นภายในบริษัทฯ เอง โดย BYD ผลิตแบตเตอรี่ และชิปคอมพิวเตอร์ของตัวเอง ซึ่งจากข้อมูล เมื่อไม่นานมานี้ คุณ สเตลลา หลี่ (Stella Li) รองประธานบริหารของ BYD บอกกับ มอเตอร์เทรนด์ (MotorTrend) ว่าบริษัทฯ ผลิตชิ้นส่วนทุกชิ้นของรถแฮทช์แบ็กไฟฟ้า ดอลฟิน (Dolphin) เอง ยกเว้นยาง และหน้าต่าง 


ข่าวแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง