ส่องอนาคต "TESLA" รายได้จะเปลี่ยนไป ? l การตลาดเงินล้าน
ส่องอนาคต "TESLA" รายได้จะเปลี่ยนไป ปัจจุบันรายได้หลักมาจากยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าแต่คาดการณ์อีก 5 ปีข้างหน้า รายได้มาจากซอฟต์แวร์เป็นหลัก
เว็บไซต์ทางการเงินที่ชื่อว่า Motley Fool (มอตลีย์ ฟูล) รายงานเกี่ยวกับมุมมองในอนาคตของ เทสลา บอกว่า ปัจจุบัน เทสลา มีรายได้หลักมาจากการขายรถยนต์ไฟฟ้า หรือ อีวี คิดเป็นสัดส่วนประมาณ ร้อยละ 75 แต่จากแบบจำลองทางการเงินชุดใหม่ ของ Ark Investment Management (อาร์ก อินเวสเมนต์ แมเนจเมนต์) ซึ่งบริหารกองทุน ETF ที่เน้นลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีนวัตกรรม บ่งชี้ว่า ตัวเลขดังกล่าวจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญคือภายในปี 2029 หรือในอีก 5 ปีข้างหน้า อาร์ก คาดการณ์ว่า รายได้ของ เทสลา จะเปลี่ยนไป โดยประมาณร้อยละ 86 จะเป็นรายได้ที่มาจากส่วนอื่นแทน
ซึ่งบทความจาก มอตลีย์ ฟูล ระบุว่า เทสลา เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2010 เวลานั้น มีนักวิเคราะห์เพียงไม่กี่คนที่เชื่อว่า บริษัทฯ จะประสบความสำเร็จในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้จำนวนมาก แต่จนถึงตอนนี้ ก็พิสูจน์ได้แล้วว่า พวกเขานั้นคิดผิด เห็นได้จากปี 2023 เพียงปีเดียว เทสลา สร้างสถิติใหม่ด้วยยอดขายสูงถึง 1,800,000 คัน
แต่มาปีนี้ ยอดขายรถของ เทสลา กำลังชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด ซึ่ง 3 ไตรมาสแรกของปีนี้ มีการส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าได้เพียง 1,290,000 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 2.3 นั่นหมายความว่า การส่งมอบรถ เมื่อเทียบเป็นรายปี ของบริษัทฯ มีแนวโน้มจะหดตัวเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เปิดตัวรุ่นเรือธง คือ Model S ในปี 2011 ทั้ง ๆ ที่ บริษัทฯ ได้ปรับลดราคาลงอย่างมากเพื่อกระตุ้นยอดขายแล้ว แต่ก็ไม่ได้ส่งผลในเชิงบวกมากนัก
เนื่องจาก ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าอ่อนกำลัง ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจผันผวน จากอัตราดอกเบี้ยสูง ผู้บริโภค เลือกซื้อรถยนต์สันดาปภายในที่มีราคาถูกกว่าแทน ขณะเดียวกัน รายงานจาก Goldman Sachs (โกลด์แมน แซคส์) ชี้ให้เห็นด้วยว่า ผู้บริโภคยังมีความกังวลต่อโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จ และราคาขายต่อของรถไฟฟ้าโดยทั่วไปจะลดต่ำลงอย่างมาก
ขณะเดียวกัน เทสลา ยังต้องเจอกับภัยคุกคามด้านการแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกับค่ายผู้ผลิตจากจีนอย่าง BYD
ในบทความดังกล่าว บอกว่า อีลอน มัสก์ ซีอีโอ เทสลา ได้เคยประกาศแผนที่จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัด และคาดจะเริ่มผลิตได้ในปี 2025 และขายในราคา 25,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ในการประชุมทางออนไลน์กับนักลงทุนครั้งล่าสุดนั้น อีลอน มัสก์ เผยว่า แผนดังกล่าวจะไม่ดำเนินการต่อแล้ว
ขณะที่ ระบบ Full-Self Driving (ฟูล เซลฟ์ ไดร้ฟวิ่ง) หรือ FSD (เอฟ เอส ดี) ซึ่งก็คือระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบ ที่ไม่ต้องมีมนุษย์ควบคุม และ แท็กซี่ไร้คนขับ หรือ robotaxi (โรโบแท็กซี่) จะเป็นอนาคตของ เทสลา
พร้อมกล่าวว่า อนาคตของ เทสลา อยู่ที่รถยนต์ไร้คนขับ หลังเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ เปิดตัว Cybercab (ไซเบอร์แค็บ) เป็นโรโบแท็กซี่ขับเคลื่อนอัตโนมัติ แบบไม่มีพวงมาลัย และไม่มีแป้นเหยียบ โดยจะทำงานบน ซอฟต์แวร์ FSD ของ เทสลา ที่ได้มีการพัฒนามาหลายปี
อย่างไรก็ดี ระบบดังกล่าวยังไม่ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานที่กำกับดูแลในสหรัฐฯ แต่ข้อมูลที่รวบรวมมาจากการทดสอบเบต้าอย่างละเอียด มีความเป็นไปได้ว่า ไซเบอร์แค็บ มีความปลอดภัยกว่ารถยนต์ทั่วไปที่วิ่งอยู่บนท้องถนนแล้ว ซึ่งตามรายงานความปลอดภัยของรถยนต์ประจำไตรมาสล่าสุด ของ เทสลา ระบุว่า ระบบ FSD จะมีอุบัติหตุ 1 ครั้งในทุก ๆ 7 ล้านไมล์ ขณะที่ ผู้ขับขี่ทั่วไปในสหรัฐอเมริกา จะมีอุบัติเหตุ 1 ครั้งทุก ๆ 700,000 ไมล์ จากสถิติดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่า FSD มีความปลอดภัยกว่ารถยนต์ที่มนุษย์เป็นผู้ขับถึง 10 เท่า
อีกทั้ง ซอฟต์แวร์จะยังพัฒนาดีขึ้นไปอีก เพราะโมเดล AI ที่ใช้เป็นพื้นฐานจะเรียนรู้ข้อมูลใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง และปัจจุบัน เทสลา เองกำลังสร้างกลุ่มชิปประมวลผลกราฟิก (GPUs) จำนวน 50,000 ตัว จาก Nvidia เพื่อใช้ในการฝึกอบรม FSD ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อีกด้วย โดยบริษัทฯ กำลังวางแผนที่จะใช้เงินลงทุน 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับโครงสร้างพื้นฐาน ศูนย์ข้อมูล AI ในปีนี้ เพื่อจุดประสงค์ดังกล่าว
และด้วยเหตุดังกล่าว ทำให้ มัสก์ คาดหวังว่า ซอฟต์แวร์ ของบริษัทฯ จะได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล และพร้อมใช้งานได้ทั้งใน เท็กซัส และ แคลิฟอร์เนีย ภายในปีหน้า (2025)
นั่นหมายถึงว่าระบบ FSD จะสามารถทำรายได้ให้กับ เทสลา ได้ ซึ่งจะมี 3 วิธีหลัก คือ
1. รายได้จากการขายซอฟต์แวรให้กับเจ้าของรถ อีวี ของเทสลา
2. คือ รายได้จากการให้สิทธิ์การใช้งานซอฟต์แวร์ แก่ผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น ๆ
และ 3. รายได้จากเครือข่ายรถโดยสาร ที่ เทสลา สร้างขึ้นมาเอง ที่จะช่วยให้ ไซเบอร์แค็บ สามารถรับส่งผู้โดยสารได้ตลอดทั้งวัน อีกทั้ง เจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าของ เทสลา ที่มีระบบ FSD ยังจะสามารถปล่อยเช่ารถของตนให้กับเครือข่ายรถเช่าของ เทสลา เพื่อหารายได้เสริม แต่รายได้นี้จะแบ่งกับ เทสลา ด้วย ขณะเดียวกัน ไซเบอร์แค็บ จะมีจำหน่ายในราคาประมาณ 30,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ดังนั้น ไม่ว่าใครก็สามารถซื้อ ไซเบอร์แค็บได้หลายคัน และสามารถสร้างเครือข่ายเรียกรถไร้คนขับของตนเองได้ อีกด้วย
โดยแหล่งรายได้ทั้งหมดเหล่านี้ จะสามารถสร้างกำไรได้สูง เช่น บริษัทซอฟต์แวร์ มักมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ร้อยละ 80 ขึ้นไป ซึ่งสูงกว่าอัตรากำไรขั้นต้นของเทสลา ในปัจจุบัน อยู่ที่ร้อยละ 19.8 หรือหากเทียบกับธุรกิจบริการเรียกรถ อย่าง Uber ไตรมาสล่าสุด เพียงไตรมาสเดียว ยังต้องจ่ายเงินให้คนขับเป็นจำนวนสูงถึง 17,900 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นรายจ่ายที่สูงที่สุดของบริษัท นั่นบ่งชี้ได้ว่า เทสลา จะสามารถประหยัดเงินได้มากเพียงใดจากเครือข่ายเรียกรถโดยสารอัตโนมัติของเทสลา เอง
ทั้งนี้ แบบจำลองทางการเงินของ อาร์ก ที่จัดทำขึ้น แสดงให้เห็นว่าภายในปี 2029 เทสลา จะสร้างรายได้ประจำปีจาก FSD และ ไซเบอร์ แค็บ ได้ถึง 1 ล้าน 2 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 63 แต่ด้วยอัตรากำไรที่สูง อาร์ก เชื่อว่า ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ จะคิดเป็นร้อยละ 86 ของกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA)
อย่างไรก็ดี บทความดังกล่าว ให้ความเห็นไว้ว่า แบบจำลองทางการเงินของ อาร์ก หรือเป้าหมายปี 2029 นั้น ดูจะทะเยอทะยานเกินไป และราคาหุ้น เทสลา ก็แพง
รวมถึง อนาคตของ เทสลา แม้จะดูน่าตื่นเต้นมาก แต่ตามคาดการณ์ของ มัสก์ บอกว่า ไซเบอร์แค็บ จะยังไม่เข้าสู่การผลิตจำนวนมาก จนกว่าจะถึงปี 2026 นั่นหมายความว่า ชะตากรรมของ เทสลา อย่างน้อยในปีหน้าทั้งปี จะยังต้องพึ่งจากยอดขายรถอีวี ต่อไป
สำหรับความเคลื่อนไหวของ เทสลา ล่าสุด รายงานผลประกอบการ ไตรมาส 3 ออกมา ยอดขายกระเตื้องดีขึ้น แต่หากรวม 3 ไตรมาสแล้ว ยังลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดย ไตรมาส 3 นั้น เทสลา รายงานการส่งมอบรถ เกือบ 463,000 คันทั่วโลก คิดเป็น เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 หลังจาก 2 ไตรมาสแรกของปีนี้ เทสลา รายงานยอดขายลดลงติดต่อกัน คือลดลงร้อยละ 9 และ ร้อยละ 5 ตามลำดับ ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของบริษัทฯ เลยทีเดียว ที่รายงานยอดขายลดลงติดต่อกัน 2 ไตรมาส
และเมื่อรวมยอดทั้ง 9 เดือน การส่งมอบรถของเทสลา ยังหดตัวที่กว่าร้อยละ 2 จากปีก่อน ท่ามกลางการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากผู้ผลิตรถยนต์จีน
ขณะเดียวกัน รอยเตอร์ส รายงานว่า ซีอีโอ ของ เทสลา สร้างความประหลาดใจ ด้วยการคาดการณ์ ยอดขายรถยนต์ในปีหน้าของบริษัทฯ ว่าจะเติบโตสูงถึงร้อยละ 20 ถึง 30 โดยจะเติบโต จากการที่บริษัทฯ กำลังปรับปรุงธุรกิจหลักในการขายรถยนต์ไฟฟ้า ให้มีกำไร และลดความกังวลเกี่ยวกับช่วงเวลา ที่จะสามารถผลิต โรโบแท็กซี่ ได้
โดย มัสก์กล่าวว่า เทสลา จะเปิดตัวยานยนต์ไร้คนขับพร้อมบริการรับส่งในปีหน้า หลังจากที่บริษัทได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลในแคลิฟอร์เนียและเท็กซัส รวมถึงการนำ ซอฟต์แวร์ควบคุมอัตโนมัติของบริษัทฯ มาใช้ และขาย จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่วนการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ จะดำเนินต่อไป ซึ่งรวมถึงรุ่นที่มีราคาย่อมเยาด้วย
ข่าวแนะนำ