เอกชนจับตาเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
เอกชน จับตาเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 5 พฤศจิกายนนี้ ส่งผลต่อการส่งออกไทย ชี้ไทยควรทำตัวเป็นกลาง แนะนักลงทุนรับมือให้ดี
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วม ภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) กล่าวว่า สำหรับเรื่องที่จับตาคือ การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ นั้นไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร นโยบายต่อต้านจีนจะเกิดขึ้นแน่นอน ดังนั้น ไทยควรมองหาโอกาสและ
วางตัวเป็นกลาง
ส่วนในปี 2568 สิ่งที่เราต้องทำคือ การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยมองว่าภาครัฐเอกชนต้องร่วมกันช่วยดันจีดีพีปีหน้าให้โตไม่ต่ำกว่าร้อยละ 3 หรือสูงสุดร้อยละ 3.5
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า สำหรับเรื่องที่จับตาคือ การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ ผลจะออกมาเป็นอย่างไร จะส่งผลต่อทิศทางการส่งออกของไทยในอนาคต เนื่องจากสหรัฐฯ อเมริกาเป็นคู่ค้ากับประเทศไทยอันดับหนึ่ง และหากโดนัลด์ทรัมป์ชนะ ทรัมป์ก็มีนโยบายชัดเจนในเรื่องคนในประเทศต้องมาก่อน โดยนโยบายการค้าและลงทุนแตกต่างกันสิ้นเชิงกับคามาลา แฮร์ริส โดยทรัมป์จะเน้นดึงดูดการลงทุนกลับเข้ามาสหรัฐฯ มีการลดภาษีนิติบุคคลบริษัทที่มาลงทุนในสหรัฐฯ เดิมร้อยละ 21 เหลือเพียงร้อยละ 15 เพื่อชดเชยให้ผู้ที่มาลงทุนในประเทศ
ส่วนถ้า "แฮร์ริส" เป็นประธานาธิบดี จะมีการขึ้นภาษีนิติบุคคลจากร้อยละ 21 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 28 และเน้นกระจายการลงทุนประเทศที่เป็นมิตร เช่น เวียดนาม เม็กซิโก รวมถึงประเทศไทยด้วย ซึ่งส่งผลต่อการลงทุนแน่นอน ดังนั้นนักลงทุนไทยเองจำเป็นต้องปรับตัวและเข้าใจ เพราะถ้าประธานาธิบดีทรัมป์มาเราอาจจะต้องเปลี่ยนจากการส่งออกเป็นการย้ายฐานลงทุนไปสหรัฐฯ เพื่อความสะดวกสบาย
ที่มา TNN
ข่าวแนะนำ