ทรุดหนัก ตลาดรถยนต์ไทยต้องเร่งปั๊มยอด l การตลาดเงินล้าน

ตลาดรถยนต์ในประเทศ ช่วง 8 เดือนแรกของปี 2567 ยอดขายรถยนต์ลดลงต่อเนื่องทุกเดือน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงด้วยตัวเลข 2 หลัก

เริ่มจากเดือน มกราคม ยอดขายรถยนต์รวมในประเทศ มีจำนวนทั้งสิ้น 54,814 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่ร้อยละ 16.42 มาในเดือนกุมภาพันธ์ มียอดขายรวม 52,843 คัน ลดลงร้อยละ 26.15 และ เดือนมีนาคม หดตัวลงไปมากถึงร้อยละ 29.83 จากปีก่อน ด้วยยอดขายจำนวน 56,099 คัน

ต่อมาเดือน เมษายน มียอดขายรวม 46,738 คัน ก็ยังลดลงอีก เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน ลดลงไป ร้อยละ 21.49 ส่วนเดือนพฤษภาคม มียอดขาย 49,871 คัน ลดลง ร้อยละ 23.38 และเดือน มิถุยายน ยอดขายรวมอยู่ที่ 47,662 คัน ลดลงร้อยละ 26.04

เข้าสู่ครึ่งปีหลังของปี 2567 ตลาดรถยนต์ในภาพรวมก็ยังไม่สู้ดีนัก โดยเดือนกรกฎาคม มียอดขายรวม 46,394 คัน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ลดลงไป ร้อยละ 20.58 และตัวเลขล่าสุด เดือนสิงหาคม มียอดขายรวม 45,190 คัน และยังคงลดลงต่อเนื่อง ที่ร้อยละ 24.98 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

สาเหตุหลัก ๆ มาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ รวมถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนซึ่งอยู่ในระดับสูง, การเข้มงวดปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ตลอดจนหนี้เสียในกลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อ ที่เพิ่มสูงขึ้น

อย่างไรก็ดี คุณวัลลภ เฉลิมวงศาเวช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด ให้ความเห็นว่า กลุ่มกำลังซื้อสูงในประเทศยังมีอยู่มาก ซึ่งตลาดรถยนต์ที่หดตัวลง น่าจะมีการกระตุ้น เพื่อช่วยให้ภาพรวมของตลาดเติบโตในระยะยาว

ขณะที่ ตลาดรถยนต์ไทยเคยเป็นที่ 1 ในอาเซียนมาก่อน แต่ปัจจุบันอยู่ในอันดับ 3 และคาดว่าปีนี้ตลาดรวมอาจจะไม่ถึง 600,000 คัน ซึ่งฟังดูแล้วน่าใจหาย ทั้ง ๆ ที่ลูกค้าที่มีศักยภาพในประเทศยังมีอยู่จำนวนมาก ดังนั้น น่าจะมีมาตรการออกมาจูงใจสำหรับคนกลุ่มนี้ ที่ยังมีกำลังซื้อสูงเช่น มาตรการลดหย่อนภาษี เป็นต้น 

ด้านตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) คุณวัลลภ กล่าวว่า ตลาดรถอีวี ปีนี้ยังเติบโต แต่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ คือจากเดิมคาดว่าจะมียอดขายรวมทั้งปี ที่ 130,000 คัน แต่ตอนนี้ คาดว่าพอจบสิ้นปี ตัวเลขน่าจะใกล้แตะระดับที่ 100,000 คัน (ถือว่ายังเติบโตจากปีที่แล้ว มียอดจดทะเบียนรถ EV อยู่ที่กว่า 76,000 คัน)

ตัวเลขเป้าหมายที่ลดลง เป็นเพราะช่วงต้นปี ดีมานด์ หรือ ความต้องการ รถอีวี ถูกดึงไปล่วงหน้า เนื่องจากมาตรการ 3.5 ที่รัฐสนับสนุนน้อยกว่ามาตรการ 3.0 นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเรื่องเศรษฐกิจ รวมถึง ปัจจัยท้าทายในเรื่องสงครามราคา ที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค แต่คาดว่าลูกค้าส่วนใหญ่จะรอในช่วงปลายปีกัน ซึ่งน่าจะคึกคักและทำให้ยอดขาย อีวี แตะที่ระดับ 100,000 คันได้ 

สำหรับ ฮุนได เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ด้วยการเปิดตัว บริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อเดือนเมษายน 2566 ที่ผ่านมา ส่วน ช่วง 8 เดือนแรกของปี 2567 มียอดขายจำนวนประมาณ 3,500 คัน จากเป้าหมายทั้งปี อยู่ที่ 5,000 คัน 

ส่วนกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าของฮุนได คือ ไอออนนิค 5, ไอออนนิค 6 และ ไอออนนิค 5N มีเป้าหมายสำหรับปีหน้า (2568) อยู่ที่ 1,500 คัน

โดย ไอออนนิค 5N เป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นล่าสุดที่มีการเปิดตัว ซึ่งรุ่นนี้ เป็น อีวี มีสมรรถนะสูง ด้วยกำลังขับเคลื่อนถึง 601 แรงม้า และเสริมการทำงานด้วยโหมด เอ็น กริน บูสต์ (N Grin Boost) ซึ่งจะเพิ่มกำลังสูงสุดเป็น 641 แรงม้า และ มีอัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลา 3.4 วินาที รุ่นนี้ จะเป็นรถนำเข้าจากเกาหลีใต้ ในราคา 3,790,000 บาท 

ผู้บริหาร ฮุนได โมบิลิตี้ กล่าวว่า ไอออนนิค 5N เปิดตัวมาเพื่อเจาะกลุ่มตลาด นิช โดยเฉพาะ ซึ่งในประเทศไทยมีตลาดกลุ่มนี้อยู่ เห็นได้จากการนำมาโชว์ตัวก่อนหน้านี้ โดยที่ยังไม่เปิดราคา ก็มีการจองซื้อถึง 5 คัน และล่าสุดก็ในเริ่มส่งมอบแล้ว และสะท้อนให้เห็นด้วยว่า กลุ่มกำลังซื้อสูงในประเทศยังมีอยู่

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งมั่นขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานไฟฟ้าของประเทศไทย เพื่อให้ผู้บริโภคเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าได้ง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น เห็นได้จาก ล่าสุด ยังได้เปิดตัว อี-พิต (E-Pit) สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบ อัลตร้า ฟาสต์ ชาร์จจิง ซึ่งพร้อมให้บริการแล้ว ที่ ไอออนนิค แลบ (อาคารทรู ดิจิทัล พาร์ค) โดยมาพร้อมกับแรงดันไฟฟ้าสูงสุด 800 โวลต์ ต่อ 350 กิโลวัตต์ สามารถชาร์จไฟเพียง 5 นาที และขับขี่ ไอออนนิค 5 ไปได้ไกลอีก 100 กิโลเมตร  โดยจะให้บริการสำหรับลูกค้า ไอออนนิค 5, 6 และ 5N เท่านั้น และสามารถใช้บริการฟรี ไม่คิดค่าใช้จ่าย จนถึงสิ้นปีนี้ อีกด้วย