แนวโน้มค่าไฟต่ำกว่า 4 บาทภายในปี 2571 |ย่อโลกเศรษฐกิจ

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB EIC  ประเมินแนวโน้มความต้องการพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทยปี 2568-2571 ว่ามีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่าในอดีต ตามคาดการณ์ GDP ที่ชะลอลงมาอยู่ที่ราวร้อยละ 2.5-2.7  

โดยสัดส่วนการผลิตไฟฟ้านอกระบบจะเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการผลิตไฟฟ้าใช้เองจากพลังงานหมุนเวียน  ซึ่งประเมินว่าการใช้ไฟฟ้าทั้งในและนอกระบบจะเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 2.5   ในปี 2568 (YoY) และขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 3.0 ต่อปีในช่วงปี 2569-2571  

นอกจากนี้ SCB EIC คาดว่าค่าไฟฟ้าในปี 2568 จะคงอยู่ใกล้เคียงระดับ 4.1-4.2 บาทต่อหน่วย เช่นเดียวกับปี 2567 อันเป็นผลมาจาก 1) นโยบายลดค่าครองชีพและค่าพลังงานของรัฐบาลที่คาดว่าจะตรึงค่าไฟฟ้าให้ใกล้เคียงกับปี 2024 และไม่เกิน 4.18 บาทต่อหน่วย 

2) ประมาณการต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในประเทศ (Pool gas) อยู่ในช่วง 310-320 บาทต่อ 1 ล้าน BTU (MMBTU) และ 3) ภาครัฐสามารถทยอยคืนต้นทุนค้างชำระ (AF) แก่ กฟผ. และ ปตท. ได้ที่ 5-20 สตางค์ต่อหน่วย 

อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี 2569-2571 ค่าไฟฟ้าจะค่อย ๆ ลดลง และคาดว่าจะต่ำกว่า 4 บาทต่อหน่วยภายในปี 2571 หรือเฉลี่ยอยู่ราว 3.8-4.2 บาทต่อหน่วย จากราคาก๊าซโลกที่ทยอยลดลงและสัดส่วนของก๊าซในอ่าวไทย ตลอดปี 2569-2571 อยู่ราวร้อยละ 50 ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น

ทั้งนี้ มีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาซึ่งอาจมีผลให้ค่า Ft และค่าไฟฟ้าไม่เป็นไปตามที่คาด ได้แก่ นโยบายของภาครัฐ ที่เจรจาขอขยายคืนต้นทุนค่าไฟฟ้าที่คงค้างอยู่ราว 110,000  ล้านบาทออกไปก่อน จากเดิมที่ประเมินว่าจะเรียกเก็บในงวดปี 2568  

ซึ่งจะเกิดผลกระทบเชิงบวกต่อประชาชนในระยะสั้นแต่จะมีผลกระทบเชิงลบต่อผู้รับซื้อก๊าซธรรมชาติเข้า Pool gas หรือ ปตท และ กฟผ. ที่จะต้องอุ้มค่าใช้จ่ายไว้ก่อน

2. แนวโน้มราคาก๊าซโลก (JKM) ที่ไม่ลดลงตามคาดในช่วงปี 2569-2571  และค่าเงินบาทที่ไม่กลับมาแข็งค่าตามคาดการณ์ จะทำให้ราคาก๊าซในประเทศ (Pool gas) สูงขึ้นกว่าที่ประเมินไว้ ซึ่งจะไปกดดันต้นทุนเชื้อเพลิง และ Ft ให้สูงขึ้น