ปี 2567 จ่อเป็นปี “โลกร้อนที่สุด” เป็นประวัติการณ์ แซงหน้าสถิติปีที่แล้ว
นักวิทย์ EU เผยปี 2567 จ่อเป็นปีที่โลกร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ สืบเนื่องจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทวีความรุนแรง
โครงการติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโคเปอร์นิคัส (Copernicus Climate Change Service: C3S) ภายใต้สหภาพยุโรป (EU) เผยข้อมูลล่าสุดว่า ปี 2567 กำลังจะเป็นปีที่โลกมีอุณหภูมิสูงที่สุดเท่าที่เคยบันทึกมา โดยแซงหน้าสถิติของปี 2566 ที่ผ่านมาแล้ว ข้อมูลนี้ได้รับการตรวจสอบกับบันทึกสถิติอุณหภูมิย้อนหลังตั้งแต่ปี พ.ศ. 2393 ซึ่งแสดงถึงแนวโน้มอุณหภูมิโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและชัดเจน
จากการติดตามสถิติอุณหภูมิของ C3S ในช่วงเดือนมกราคมถึงตุลาคม อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกสูงขึ้นมากจนนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ปีนี้จะกลายเป็นปีที่โลกร้อนที่สุด เว้นแต่ว่าอุณหภูมิในช่วงที่เหลือของปีจะลดลงอย่างผิดปกติจนเกือบถึงระดับศูนย์ ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก
คาร์โล บวนเทมโป ผู้อำนวยการ C3S กล่าวว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้โลกร้อนขึ้นในปีนี้คือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งเกิดขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่ยั่งยืน
"สภาพภูมิอากาศกำลังร้อนขึ้นอย่างรวดเร็วในทุกทวีปและทุกมหาสมุทร ซึ่งจะทำให้สถิติใหม่ของโลกร้อนที่สุดถูกทำลายซ้ำอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้" เขากล่าว
นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังระบุว่า ปี 2567 จะเป็นปีแรกที่อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นมากกว่า 1.5 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับยุคก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม (ช่วงปี พ.ศ. 2393-2443) ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มมีการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในระดับอุตสาหกรรม ซึ่งระดับ 1.5 องศาเซลเซียสนี้ เป็นเกณฑ์ที่ถือว่ามีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่รุนแรง โดยอาจนำไปสู่ภัยธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงขึ้น เช่น คลื่นความร้อน น้ำท่วม และพายุที่รุนแรง
ข้อมูลที่เผยแพร่โดย C3S ออกมาก่อนที่การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 29 (COP29) จะเริ่มขึ้นในสัปดาห์หน้า ที่ประเทศอาเซอร์ไบจาน ซึ่งการประชุมครั้งนี้มีเป้าหมายในการเพิ่มเงินทุนจำนวนมหาศาลเพื่อรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกเป็นว่าที่ผู้นำอีกครั้ง อาจส่งผลกระทบต่อความคาดหวังในการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาโลกร้อน เนื่องจากทรัมป์เคยแสดงท่าทีว่าไม่เชื่อเรื่องภาวะโลกร้อนมาก่อน และในระหว่างการดำรงตำแหน่งครั้งแรก เขาเคยถอนตัวจากข้อตกลงปารีสซึ่งเป็นกรอบความร่วมมือระดับโลกในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ในระยะสั้น ผลการประชุม COP29 จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญว่าประชาคมโลกจะสามารถรวมพลังในการต่อสู้กับปัญหาสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงได้มากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะในสภาวะที่สหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์อาจมีจุดยืนที่แข็งกร้าวต่อแนวทางการลดโลกร้อน
ภาพจาก: AFP
ข่าวแนะนำ