TNN "เอกวาดอร์" เข้าขั้นวิกฤต สั่งตัดไฟทั่วประเทศวันละ 12 ชม. หลัง "แล้ง" หนักสุดในรอบ 61 ปี

TNN

Earth

"เอกวาดอร์" เข้าขั้นวิกฤต สั่งตัดไฟทั่วประเทศวันละ 12 ชม. หลัง "แล้ง" หนักสุดในรอบ 61 ปี

เอกวาดอร์ เข้าขั้นวิกฤต สั่งตัดไฟทั่วประเทศวันละ 12 ชม.  หลัง แล้ง หนักสุดในรอบ 61 ปี

สถานการณ์ภัยแล้งที่รุนแรงสุดในรอบ 61 ปี ทำให้ "เอกวาดอร์" เผชิญวิกฤตพลังงานอย่างหนัก จนต้องขยายเวลาตัดไฟทั่วประเทศ วันละ 12 ชั่วโมง

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า รัฐบาลเอกวาดอร์ ประกาศขยายเวลาตัดกระแสไฟฟ้าทั่วประเทศนานขึ้น เป็นวันละ 12 ชั่วโมง จากแผนเดิมที่ตัดไฟวันละ 8 ชั่วโมง เนื่องจากประเทศกำลังเผชิญวิกฤตพลังงานอย่างหนัก ซึ่งเป็นผลจากสถานการณ์ภัยแล้งครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของ เอกวาดอร์ ซึ่งเป็นประเทศ ในแถบเทือกเขาแอนดิส


นายอันโตนิโอ กอนเคลฟส์ รัฐมนตรีพลังงานของเอกวาดอร์ กล่าวว่า สัปดาห์ที่แล้ว เจ้าหน้าที่ได้ตัดไฟทั่วประเทศวันละ 8 ชั่วโมง แต่สภาพอากาศแล้งรุนแรง ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ตั้งเขื่อนหลายแห่งของประเทศ โดยฤดูแล้งมาเร็วกว่าปกติ ถึง 2 เดือน ขณะที่ประเทศเอกวาดอร์ ต้องพึ่งพาทางอุทกวิทยาเป็นอย่างมาก ทำให้ไม่สามารถคาดเดาสถานการณ์ได้


ด้านประธานาธิบดีแดเนียล โนบัว ของเอกวาดอร์ ขึ้นกล่าวในที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ที่นิวยอร์กก่อนหน้านี้ว่า เอกวาดอร์กำลังเผชิญกับภัยแล้งครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบ 61 ปีของประเทศ ขณะที่ผู้ให้บริการจ่ายไฟฟ้ารายงานว่า ตารางเวลาการตัดไฟตามแผนการนี้ที่จะดำเนินไปจนถึงวันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน นี้ จากเดิมที่กำหนดไว้ถึงวันที่ 26 กันยายน 


แถลงการณ์ของผู้นำเอกวาดอร์  ยังระบุด้วยว่า อาจมีการบังคับใช้มาตรการเพิ่มเติมที่จำเป็น หลังจากประเมินสถานการณ์น้ำในภูมิภาค ประเทศ และแต่ละจังหวัดแล้ว โดยระดับน้ำที่ลดลงส่งผลให้อ่างเก็บน้ำของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ซึ่งครอบคลุมความต้องการไฟฟ้าในประเทศร้อยละ 70 ลดลงถึงระดับวิกฤต


ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการปฏิบัติการฉุกเฉินแห่งชาติ (ซีโออี) ขยายการเตือนภัยสีแดงใน 15 จังหวัด รวมไปถึงกรุงกีโต เมืองหลวงของประเทศ ด้านหอการค้าในเมืองกวายากิล เมืองการค้า ที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ ประเมินว่า เอกวาดอร์จะสูญเสียเงินราว 12 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 394 ล้านบาท ในทุก ๆ ชั่วโมงที่เกิดไฟฟ้าดับ


โดยเมื่อต้นปี เอกวาดอร์สูญเสียเงินขณะที่ไฟฟ้าดับไปกว่า 1,440 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 47,361 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1.4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ


ที่มา: สำนักข่าวรอยเตอร์

ข่าวแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง