WMO เตือนอุณหภูมิโลกสูงขึ้น เสี่ยงเกิดภัยพิบัติรุนแรงทั่วโลก
นักวิจัยชี้ให้เห็นว่าที่ต้องควบคุมอุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5 °C นั่นเป็นเพราะว่า เป็นอุณหภูมิสูงสุดที่ยังพอให้ระบบนิเวศและสิ่งมีชีวิตชีวิตฟื้นตัวได้จากความเสียหายบ้าง ถ้าหากอุณหภูมิเกิน 2°C หมายความว่าแนวปะการังทั้งหมดจะหายไป นอกจากนี้คาดการณ์ว่า 18% ของแมลงบนโลกจะหายไป และประชาชน 37% จะได้รับผลกระทบจากคลื่นความร้อนที่เป็นอันตราย นอกจากนี้ยังทำให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงอีกมากมาย
องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก ระบุว่า มีโอกาสถึง 50% ที่โลกของเราจะร้อนขึ้น อุณหภูมิอาจสูงแตะระดับ 1.5 องศาเซลเซียส (°C) ในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นค่าที่นักวิทยาศาสตร์ไม่อยากให้ถึง องค์การอุตุนิยมวิทยาโลกคาดการณ์ว่า ตราบใดที่เรายังปล่อยก๊าซเรือนกระจก อุณหภูมิก็จะสูงขึ้นต่อไป และควบคู่ไปกับนั้น มหาสมุทรของเราจะยังคงอุ่นขึ้นและเป็นกรดมากขึ้น น้ำแข็งในทะเลและธารน้ำแข็งจะยังคงละลายต่อไป ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสภาพอากาศของเราจะรุนแรงมากขึ้น ภาวะโลกร้อนในอาร์กติกนั้นสูงเกินสัดส่วน และสิ่งที่เกิดขึ้นในอาร์กติกส่งผลกระทบต่อพวกเราทุกคน ผู้นำทั่วโลกได้ให้คำมั่นภายใต้ข้อตกลงปารีสเมื่อปี 2015 เพื่อป้องกันไม่ให้เกิน 1.5 °C ในระยะยาว ซึ่งวัดเป็นค่าเฉลี่ยหลายสิบปี แต่จนถึงขณะนี้ก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่สามารถลดการปล่อยมลพิษที่สร้างภาวะโลกร้อนได้ หากทำแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ นักวิทยาศาสตร์คาดว่าโลกจะร้อนขึ้น 3.2 °C ภายในสิ้นศตวรรษนี้ นักวิจัยชี้ให้เห็นว่าที่ต้องควบคุมอุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5 °C นั่นเป็นเพราะว่า เป็นอุณหภูมิสูงสุดที่ยังพอให้ระบบนิเวศและสิ่งมีชีวิตชีวิตฟื้นตัวได้จากความเสียหายบ้าง ถ้าหากอุณหภูมิเกิน 2°C หมายความว่าแนวปะการังทั้งหมดจะหายไป นอกจากนี้คาดการณ์ว่า 18% ของแมลงบนโลกจะหายไป และประชาชน 37% จะได้รับผลกระทบจากคลื่นความร้อนที่เป็นอันตราย นอกจากนี้ยังทำให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงอีกมากมาย ผลกระทบฟังดูแล้วน่ากลัว ดังนั้น ทั่วโลกต้องช่วยกันควบคุมอุณหภูมิไม่ให้สูงขึ้นไปมากกว่านี้ ด้วยการลดการปล่อยคาร์บอน และก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต