ฎีกาลดโทษคุก 2 ปี”เบญจา”ช่วยลูกทักษิณเลี่ยงภาษี-ส่งตัวจองจำ
ศาลฏีกา ชี้ชัด “เบญจา” อดีต รมช.คลัง และพวกช่วย “โอ๊ค- เอม”เลี่ยงภาษีมีพฤติการณ์ร้ายแรงไม่สมควร ให้รอการลงโทษ แต่จากคำให้การ ยังมีประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง ควรลดโทษให้คนละ 1 ใน 3 คงเหลือ คุก 2 ปี ส่งตัวรับโทษตามคำพิพากษา
วันที่ 26 ธันวาคม 2562 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง
ถ.นครไชยศรี นัดอ่านฏีกา คดีที่ ป.ป.ช. เป็นโจกท์ ยื่นฟ้อง นางเบญจา หลุยเจริญ
อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง(อดีตรมช.คลัง) สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
และอดีตรองอธิบดีกรมสรรพากร, น.ส.จำรัส แหยมสร้อยทอง อดีต
ผอ.สำนักกฎหมาย,
น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ อดีตผอ.สำนักกฎหมาย , นายกริช
วิปุลานุสาสน์ ผอ.สำนักกฎหมาย กรมสรรพากร และ น.ส.ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์
คนใกล้ชิดเลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยานายทักษิณ ชินวัตร
เป็นจำเลยที่ 1-5
ฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่
หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ
ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.157
จากกรณีพวกจำเลย ได้ช่วยเหลือนายพานทองแท้ หรือ โอ๊ค
และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร หรือ เอม บุตรชายและบุตรสาวของนายทักษิณ
อดีตนายกรัฐมนตรี เลี่ยงเสียภาษีอากร หรือ เสียภาษีน้อยกว่าที่จะต้องเสีย
ในการซื้อหุ้นชินคอร์ปอเรชั่น เมื่อปี 2549 โดยคดีนี้
จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ ขณะที่ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์
พิพากษายืนให้จำคุกจำเลยที่ 1- 4 คนละ 3 ปี ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ
หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยมิชอบ ทำให้เกิดความเสียหายแก่กรมสรรพากร
ตามป.อ.มาตรา 157
ส่วนจำเลยที่ 5 จำคุก 2 ปี
ฐานเป็นผู้สนับสนุนฯ
ต่อมา จำเลยทั้งหมดยื่นฎีกาสู้คดี
พร้อมขอให้พิจารณาลงโทษสถานเบาหรือรอลงอาญา โดยระหว่างฏีกาจำเลยทั้งหมด
ได้ประกันตัวคนละ 5 แสนบาท
ซึ่งวันนี้ทั้งหมดเดินทางมาพร้อมฟังคำพิพากษา
โดยศาลฏีกาตรวจสำนวน
และประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 1-4 ในการ
ตอบข้อหารือประเมินภาษี การซื้อขายหุ้น ชินคอร์ปฯ ให้กับจำเลยที่ 5 รับทราบนั้นแอบแฝงเจตนา
ที่จะช่วยให้ นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ประกอบกับแนวการตอบข้อหารือ
ก็ไม่ตรงกับข้อหารือที่กรมสรรพากร เคยวินิจฉัยเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นบางประการไว้
อีกทั้งยังฟังได้ว่า การที่จำเลยที่ 5 มีหนังสือแจ้งถามข้อหารือมายังกรมสรรพากรก็เป็นการวางแผนที่เตรียมไว้ในการขายหุ้นกลุ่มชินคอร์ปฯ
ให้กับกลุ่มเทมาเส็ก ประเทศสิงค์โปร์ ที่ศาลฏีกา
แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเคยวินิจฉัยว่า เจ้าของหุ้นที่แท้จริง
คือนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งจำเลยที่ 1-4 เป็นเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร
ระดับสูง เคยวินิจฉัย ข้อกฎหมายต่าง ๆ มา และถือเป็นมันสมองของกรมสรรพากร
ขณะที่จำเลยที่ 5 ก็เคย
ทำงานเกี่ยวกับการตรวจสอบบัญชีและตรวจสอบการประเมินภาษี
จึงย่อมรู้ดีว่าการมีหนังสือถามข้อหารือดังกล่าว นายพานทองแท้และน.ส.พินทองทา
สามารถนำไปใช้ประโยชน์ ในการยื่นแบบรายได้ประเมินภาษีได้ และหากมีคดีความเกิดขึ้น
ทั้งอาญาหรือแพ่งก็สามารถนำหนังสือตอบข้อหารือนี้ไปใช้อ้างเพื่อเป็นประโยชน์ได้
ขณะที่ข้อสงสัยในการประเมินภาษี ลักษณะดังกล่าวยังไม่เคยมีแนวคำวินิจฉัย ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษว่ากระทำความผิดนั้น
ศาลฏีกา เห็นพ้องด้วย
ในผลส่วนที่จำเลยทั้ง 5 ขอให้ลงโทษสถานเบาหรือรอลงอาญานั้น
ศาลฏีกาเห็นว่า การกระทำของจำเลยทั้ง 5 คน
มีพฤติการณ์ร้ายแรง จึงไม่สมควร ให้รอการลงโทษแต่
เมื่อพิเคราะห์จากคำให้การของจำเลยที่ 1-4 แล้ว
เห็นว่า ยังมีประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง ควรลดโทษให้คนละ 1 ใน 3 คงเหลือ
พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำคุก จำเลยที่ 1-4 คนละ 2 ปี
ส่วนจำเลยที่ 5
คงจำคุกไว้ 2 ปี
นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศหลังศาลฎีกา พิพากษาให้ลงโทษจำคุกโดยไม่รอลงอาญา ว่า จำเลยทั้งหมดมีสีหน้าเคร่งขรึม และเสียใจ โดยญาติได้รีบเข้าไปโอบกอดให้กำลังใจ จำเลยบางคนพยายามกลั้นน้ำตาและกล่าวขอบคุณเสียงเครือ ขณะที่จำเลยที่ 5 ที่มีอายุมากและมีอาการป่วย ญาติก็แสดงความกังวลใจเกี่ยวกับสุขภาพ ซึ่งได้มีการนำยารักษาโรคประจำตัวมาให้ด้วย ก่อนเตรียมส่งตัวเข้าเรือนจำ ซึ่งในส่วนของจำเลยผู้ชาย จะถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ส่วรจำเลยผู้หญิง จะเข้าทัณฑสถานหญิงกลาง
เกาะติดข่าวที่นี่
website: www.TNNThailand.com
facebook : TNNThailand
twitter : @TNNThailand
Line : @TNNThailand
Youtube Official : TNNThailand