เปิดคำพิพากษา(ฉบับย่อ)”โอ๊ค”รอดคุก! ไร้เจตนารับรู้เงินดำ
ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ยกฟ้อง”โอ๊ค พานทองแท้” ไม่ผิดฟอกเงินทุจริตกู้กรุงไทย ศาลชี้ เงินโอนเข้าบัญชีไร้เจตนารับรู้เงินดำ ขาดเจตนาตาม กม. ขณะที่คดีนี้ ยังมีความเห็นแย้ง ติดในสำนวนเห็นควรจำคุก 4 ปี
วันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรี เวลา 10.00 น. ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีฟอกเงินทุจริตการปล่อยสินเชื่อของ ธ.กรุงไทยฯ ให้ธุรกิจเครือกฤดามหานคร คดีหมายเลขดำ อท.245/2561 ที่พนักงานอัยการคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายพานทองแท้ หรือ โอ๊ค ชินวัตร อายุ 41 ปี บุตรชายคนโตของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน และสมคบคบกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5 , 9 , 60 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2558 มาตรา 10 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 , 91
โดยคดีนี้
อัยการ ยื่นฟ้อง นายพานทองแท้ เมื่อวันที่ 10 ต.ค.61บรรยายพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 17 พ.ค.47 หลังจากนายวิชัย
กฤษดาธานนท์ อดีตผู้บริหารเครือกฤษดามหานคร กับพวกร่วมกันกระทำผิดกับอดีตผู้บริหาร
ธ.กรุงไทยฯ ในการอนุมัติสินเชื่อโดยมิชอบ ทำให้ธนาคารเสียหายจำนวน 10,400,000,000 (หนึ่งหมื่นสี่ร้อยล้านบาท) แล้วนายวิชัย กับพวกร่วมกันฟอกเงินที่ได้จากการกระทำผิด
โดยนายวิชัย ได้นำบริษัท โกลเด้น เทคโนโลยี อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด
ที่มีนายรัชฎา บุตรชาย , นายสุบิน แสงสุวรรณเมฆา เป็นกรรมการฯ
บริษัทแกรนด์แซทเทิลไลท์คอมมูนิเคชั่น จำกัด ที่มีนายเชื้อ ช่อสลิด เป็นกรรมการฯ
มาใช้ในการรับโอนเงิน แล้วนำเงินนั้นไปซื้อขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนบริษัท
ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เป็นการเปลี่ยนสภาพทรัพย์สิน
โดยนายวิชัย
ได้โอนเงินจากการขายหุ้นนั้น ให้นายพานทองแท้ จำเลย จำนวน 10 ล้านบาท ซึ่งเป็นเพื่อนกับนายรัชฎา
บุตรของนายวิชัย และบุคคลในครอบครัวทั้งสองมีความรู้จักเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน โดยนายวิชัย สั่งจ่ายเช็คลงวันที่ 17 พ.ค.47 จากบัญชีกระแสรายวัน
ธ.ไทยธนาคาร สาขาบางพลัด ระบุชื่อนายพานทองแท้
ต่อมาวันที่ 18 พ.ค.47 จำเลยได้นำเช็คนั้นเรียกเก็บเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์
ธ.กรุงเทพ สาขาบางพลัดของจำเลย และวันที่ 24 พ.ค.47 จำเลยได้ถอนเงิน 10 ล้านบาทเข้าบัญชีออมทรัพย์ ธ.กรุงเทพ สาขาซอยอารีย์ของจำเลยอีกอัน
จากนั้นระหว่างวันที่ 24 พ.ค.-26 พ.ย.47 จำเลยได้ถอนเงินออกจากบัญชีผ่าน ATM ครั้งละ 5,000 - 20,000 บาทรวม 11 ครั้ง และช่วงในวันที่ 14 มิ.ย.47 มีเงินฝากเข้าบัญชี ธ.กรุงเทพ
สาขาซอยอารีย์ของจำเลย 80,000
บาท แล้ววันที่ 30 พ.ย.47 จำเลยได้ถอนเงิน 8,800,000 บาทจากบัญชีดังกล่าว เข้าฝากบัญชีกระแสรายวัน ธ.กรุงเทพ สาขาซอยอารีย์
ซึ่งมียอดเงินรวมในบัญชี 14,720,352.07
บาท
ต่อมาวันที่ 2 ธ.ค.47 จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คจำนวน
14,700,000 บาทจากบัญชีกระแสรายวัน ธ.กรุงเทพสาขาซอยอารีย์
โดยนายวิชัย (ปัจจุบัน อายุ 80 ปี) , นายรัชฎา (ปัจจุบัน อายุ 53 ปี) กับพวก และอดีตผู้บริหาร ธ.กรุงไทยฯ (รวม 18 คน)
ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุกคดีร่วมทุจริตการอนุมัติสินเชื่อ
คนละตั้งแต่ 12-18 ปี เมื่อวันที่ 26 ส.ค.58 และอัยการยังได้ยื่นฟ้องนายวิชัย , นายรัชฎา กับพวก อีกรวม 6 คนต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง
เมื่อวันที่ 4 ก.ย.61 ในคดีหมายเลขดำ
อท.214/2561 ความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงินด้วย
(คดีอยู่ระหว่างไต่สวนพยาน)
ซึ่งชั้นพิจารณาในศาลอาญาคดีทุจริตฯ
นายพานทองแท้ จำเลย
ก็ให้การปฏิเสธสู้คดีว่าไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง
เงินดังกล่าวเป็นส่วนที่จะร่วมลงทุนธุรกิจนำเข้ารถซุปเปอร์คาร์ กับนายรัชฎา
บุตรชายของนายวิชัย อดีตผู้บริหารกฤษดามหานคร ขณะที่ นายพานทองแท้ ได้รับการประกันตัวระหว่างพิจารณาคดี 1 ล้านบาท
พร้อมเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล
หลังองค์คณะศาลอาญาคดีทุจริตฯ
พิเคราะห์พยานโจทก์และจำเลยนำสืบหักล้างในชั้นไต่สวนพยานแล้ว คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่
ซึ่งจำเลยได้ต่อสู้คดีว่า
หลังจากการกู้สินเชื่อ ธ.กรุงไทยแล้ว นายวิชัย ได้นำเงินดังกล่าวไปซื้อหุ้นและดำเนินการต่างๆ
ซึ่งถือเป็นการฟอกเงินจนเป็นเงินบริสุทธิ์แล้ว โดยเงิน 10 ล้านบาทที่ นายวิชัย โอนเข้าบัญชีจำเลยนั้น
เป็นส่วนที่นายรัชฎา บุตรชายของนายวิชัย
จะร่วมลงทุนกับจำเลยในการดำเนินธุรกิจนำเข้ารถหรูนั้น ศาลเห็นว่า
เงินดังกล่าวเป็นส่วนที่ได้จากการกระทำความผิดมูลฐานตาม
พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา
3 (4) ความผิดเกี่ยวกับการยักยอกหรือฉ้อโกง
หรือกระทำการโดยทุจริตตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ฯ
ไม่ว่าเงินนั้นจะผ่านกระบวนการแปรสภาพทรัพย์สินมากี่ครั้งกี่หน
ก็ยังคงเป็นเงินที่กระทำผิดฐานฟอกเงินตลอดไป ไม่ใช่เงินบริสุทธิ์ตามที่จำเลยอ้าง
ข้อต่อสู้ของจำเลยนี้จึงไม่มีน้ำหนัก
ส่วนจำเลย
กระทำผิดฐานรับโอนเงินที่ได้จากการกระทำผิดมูลฐานหรือไม่นั้น ตามกฎหมาย
ต้องได้ความชัดเจนว่า ผู้ที่รับโอนเงินมานั้นจะต้องรับทราบว่าเงินดังกล่าว
เป็นเงินส่วนหนึ่งหรือได้มาจากการกระทำความผิดนั้น
ซึ่งคดีนี้ข้อเท็จจริงก็ปรากฏตามทางนำสืบในเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวของจำเลยกับครอบครัวของนายวิชัย
เพียงว่า จำเลยเป็นบุตรของนายทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีซึ่งดำรงตำแหน่งขณะที่ นายวิชัย
ได้ทำการกู้สินเชื่อกับธนาคาร และได้รับอนุมัติโดยจำเลยมีความสนิทสนมกับนายรัชฎา
บุตรชายของนายวิชัย เพียงเท่านั้น ซึ่งในการโอนเงิน 10 ล้านบาทเข้าบัญชีจำเลยอาจจะเกิดจากการอนุมัติสินเชื่อธนาคารกรุงไทย
10,400,000,000 บาท ขณะที่บิดาของจำเลยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
โดยในการดำเนินคดีกับนายวิชัยนั้น เจ้าหน้าที่ก็ระบุว่า นายวิชัย จะผิดหรือไม่
ก็ต้องรอผลคำพิพากษา ซึ่งกรณีของนายวิชัย ที่ถูกกล่าวหาร่วมทุจริตการกู้สินเชื่อธนาคารกรุงไทยนั้น
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็ได้มีคำพิพากษาในภายหลัง (ปี 2558) จากที่มีการโอนเงินเข้าบัญชีของจำเลยที่ขณะนั้นอายุ
26 ปี ซึ่งเวลานั้นจำเลยเพิ่งจบการศึกษาคณะรัฐศาสตร์
ม.รามคำแหง จำเลยจึงย่อมไม่ทราบข้อเท็จจริงว่าเงินดังกล่าวได้มาจากการกระทำผิด
โดยจำเลยเองเวลานั้นก็มีทรัพย์เป็นหุ้นในบริษัทจำนวน
4,000 ล้านบาทอยู่ก่อนแล้ว หากเทียบสัดส่วนเงิน 10 ล้านบาทที่โอนเข้าบัญชีกับมูลค่าหุ้นที่มีอยู่
ก็คิดเป็น 0.0025% และเมื่อเทียบกับจำนวนยอดเงินกู้สินเชื่อที่นายวิชัย
ได้ไปนั้นก็เพียง 0.001% เท่านั้น ซึ่งมีจำนวนน้อย และที่โจทก์เห็นว่า
แม้พยานจะไม่ชัดเจนว่าจำเลยรับรู้ว่าเงินนั้นได้มาจากการกระทำผิดหรือไม่
ก็ต้องฟังประกอบกับพยานแวดล้อม
พร้อมอ้างแนวคำพิพากษาฎีกาการฟอกเงินคดียาเสพติดนั้นระหว่างสามี-ภรรยา
ที่สามีกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและตัดสินว่าภรรยาที่อยู่กินร่วมกันฉันท์สามีภรรยาย่อมรับรู้ว่าเงินนั้นมาจากการกระทำผิดด้วยนั้น
โดยเป็นแนวทางที่นักวิชาการอิสระเองก็เห็นด้วย
ศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวถือว่ามีความแตกต่างกับคดีนี้เป็นอย่างมาก
จึงไม่มีน้ำหนักรับฟังได้
นอกจากนี้ตามทางนำสืบยังพบว่า
ในการทำธุรกรรมทางการเงินของจำเลยผ่านบัญชีต่างๆ ก็ยังเป็นการโอนและถอนลักษณะปกติ
มีเงินหมุนเวียนในบัญชีประมาณ 7 เดือน
ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถตรวจสอบได้
ไม่มีข้อที่ปกปิดในลักษณะเปิดเผยไม่ได้หรือเป็นลักษณะซุกซ่อน
ปกปิดแหล่งที่มาของเงิน ซึ่งหากเห็นการทำธุรกรรมมีข้อสงสัยว่าเป็นการกระทำผิดหรือไม่
ทางธนาคารก็สามารถที่จะตรวจสอบธุรกรรมได้
พฤติการณ์ของจำเลย จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยรู้หรือควรรู้ว่านายวิชัย ได้เงินจากการทุจริต เมื่อจำเลยไม่รู้ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฟอกเงิน พิพากษายกฟ้อง
ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟังแล้ว องค์คณะฯ
ได้ชี้แจงให้คู่ความรับทราบด้วยว่า คดีนี้องค์คณะผู้พิพากษา (มี 2 คน) มีความเห็นต่างกันในการตัดสิน
จึงได้นำความเห็นของคณะที่มีผลร้ายน้อยที่สุดกับจำเลยมาเป็นคำตัดสิน
ขณะที่ความเห็นขององค์คณะอีกคนหนึ่งนั้นเห็นแย้งว่าจำเลยมีความผิดเห็นควรให้ลงโทษจำคุก
4 ปี
ซึ่งก็จะมีการบันทึกไว้เป็นความเห็นแย้งท้ายคำพิพากษาด้วย
หากคู่ความยื่นอุทธรณ์ความเห็นแย้งนี้ในสำนวนก็จะขึ้นสู่ศาลอุทธรณ์ทราบเช่นกัน
สำหรับความเห็นแย้งนั้น ระบุว่า **คดีนี้มีคำพิพากษายกฟ้อง โดยมีความเห็นแย้งกันเป็น 2 ฝ่าย หาเสียงข้างมากไม่ได้ จึงให้ผู้พิพากษาที่มีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยมากว่าจำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ มาตรา 5(1)(2) , 60 ลงโทษจำคุก 4 ปี ยอมเห็นด้วยผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยน้อยกว่า คือยกฟ้อง**
เกาะติดข่าวที่นี่
website: www.TNNThailand.com
facebook : TNNThailand
twitter : @TNNThailand
Line : @TNNThailand
Youtube Official : TNNThailand