เปิดสาเหตุ? หากติดเชื้อโควิด เสี่ยงเป็นโรคเบาหวานมากขึ้นกว่าปกติ
"หมอธีระ" เปิดข้อมูลงานวิจัยทั่วโลกชี้ชัดหากติดเชื้อโควิด-19 จะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานมากขึ้นกว่าปกติ
"หมอธีระ" เปิดข้อมูลงานวิจัยทั่วโลกชี้ชัดหากติดเชื้อโควิด-19 จะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานมากขึ้นกว่าปกติ
รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่าน เฟซบุ๊ก Thira Woratanarat ระบุว่า โควิด-19 กับโรคเบาหวาน
ผลการวิจัยล่าสุดจากทีมงานของสหราชอาณาจักร เผยแพร่ใน medRxiv เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2023 ศึกษาจากฐานข้อมูลประชากรกว่า 15 ล้านคน
สาระสำคัญที่พบคือ
หนึ่ง แม้จะผ่านไปเกินหนึ่งปี ผู้ที่เคยติดเชื้อมาก่อนจะมีอุบัติการณ์เกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 สูงขึ้นกว่าปกติราว 24%
สอง หากวิเคราะห์ดูกลุ่มคนที่ติดเชื้อแล้วป่วยนอนโรงพยาบาลนั้น พบว่ามีอุบัติการณ์สูงขึ้นกว่าปกติราว 3 เท่า
สาม ส่วนกลุ่มคนที่ติดเชื้อแล้วไม่ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลนั้น ก็ยังพบว่าอุบัติการณ์สูงขึ้นกว่าปกติราว 10%
สี่ การมีประวัติได้รับวัคซีนโควิดมาก่อน จะช่วยลดความเสี่ยงต่อเบาหวานลงได้บ้าง แต่ก็ยังพบว่าโอกาสเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 นั้นก็ยังสูงกว่าปกติ
ห้า สำหรับเบาหวานชนิดที่ 1 ที่มักพบในเด็กนั้น ความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นหลังติดเชื้อจะสูงกว่าปกติในช่วงปีแรก
หก ส่วนเบาหวานที่เกิดขณะตั้งครรภ์นั้น พบว่า การติดเชื้อไม่ได้ทำให้เกิดอุบัติการณ์เบาหวานขณะตั้งครรภ์มากกว่าปกติ
...ด้วยความรู้ทางการแพทย์จนถึงปัจจุบันจากงานวิจัยทั่วโลก ชี้ชัดว่า หากติดเชื้อโควิด-19 จะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานมากขึ้นกว่าปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งแม้เวลาผ่านไปเกินหนึ่งปี ก็ยังเสี่ยงกว่าการไม่ติดเชื้อ
ดังนั้น หากเป็นไปได้ คนวัยผู้ใหญ่ที่เคยติดเชื้อมาก่อนและป่วยจนต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล ควรทำการตรวจสุขภาพประจำปีเป็นระยะ เพื่อคัดกรองเบาหวานด้วย จะได้ทำการดูแลรักษาได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ลดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว
การรับวัคซีนให้ครบตามกำหนด จะช่วยลดความเสี่ยงเบาหวานลงได้ด้วยระดับหนึ่ง
สำคัญที่สุดคือ พฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย ป้องกันตัวไม่ให้ติดเชื้อ หรือไม่ติดซ้ำ ย่อมดีที่สุด
อ้างอิง
Diabetes following SARS-CoV-2 infection: Incidence, persistence, and implications of COVID-19 vaccination. A cohort study of fifteen million people. medRxiv. 9 August 2023.
ข้อมูลจาก รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์
ภาพจาก AFP / TNN ONLINE