ศูนย์จีโนมฯเผย 7 เรื่องสำคัญวัคซีนโควิดในอนาคต รับมือโอมิครอน
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ เผย 7 ประเด็นสำคัญฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ได้ประสิทธิภาพ สำหรับ"สายพันธุ์โอมิครอน"
วันนี้ ( 22 พ.ค. 66 )ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุ 7 ประเด็นสำคัญที่องค์การอนามัยโลกแนะนำทั่วโลกถึงช่วงเวลาการฉีดวัคซีนในแต่ละกลุ่มประชากร รวมทั้งประเภทของ "สายพันธุ์โอมิครอน" ที่ควรนำไปใช้เป็นหัวเชื้อในการผลิตวัคซีนโควิด 19 ชนิดสายพันธุ์เดี่ยวหรือ "วัคซีนโมโนวาเลนต์" ในอนาคต โดยคำแนะนำดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่องค์การอนามัยโลก ยกเลิกภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขของโควิด-19 เมื่อประมาณสองสัปดาห์ก่อน โดยมีประเด็นที่น่าสนใจใน 7 ประเด็น ประกอบด้วย
1. วัคซีนในอนาคตควรมุ่งเป้าไปที่โอมิครอนกลุ่ม XBB.1* (XBB.1.5, XBB.1.16, และ XBB.1.9.1) โดยที่สายพันธุ์ดั้งเดิมของ SARS-CoV-2 กล่าวคือ ไวรัสอู่ฮั่น อัลฟา เบตา แกมมา เดลตา ไม่ควรนำมาใช้เป็นหัวเชื้อผลิตวัคซีนอีกต่อไป เนื่องจากปริมาณการระบาดไหลเวียนติดเชื้อในมนุษย์ทั่วโลกลดลงและภูมิคุ้มกันที่ถูกกระตุ้นขึ้นมาจะมีประสิทธิภาพต่ำในจับและทำลายโอมิครอนสายพันธุ์ปัจจุบัน
2. วัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่มีอยู่ เช่น วัคซีนไบวาเลนต์บูสเตอร์ในสหรัฐฯ แม้จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงและการเสียชีวิต แต่ก็มีประสิทธิภาพต่ำในการป้องกันการติดเชื้อ โควิด-19 เนื่องจากแอนติบอดีที่ร่างกายสร้างขึ้นมีปริมาณลดลงอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่เดือนหลังฉีด
3. การแก้ไขแนวทางการให้วัคซีนแนะนำว่าเด็กและวัยรุ่น อายุตั้งแต่ 6 เดือน-17 ปีที่มีสุขภาพดี อาจ "ไม่จำเป็นต้องได้รับวัคซีน" อย่างไรก็ตามผู้สูงอายุและกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงควรได้รับการฉีดเข็มกระตุ้นภายใน 6 ถึง 12 เดือนหลังจากได้รับวัคซีนครั้งสุดท้าย
4. วัคซีนในอนาคตอาจพิจารณาใช้สายพันธุ์ลูกผสมโอไมครอนกลุ่ม XBB.1 และลูกหลาน เพียงชนิดเดียว (โมโนวาเลนต์) เช่น XBB.1.5, XBB.1.16, หรือ XBB.1.9.1 เป็นหัวเชื้อหรือแอนติเจนที่ใช้ผลิตวัคซีน
5. ไม่แนะนำให้ใช้สายพันธุ์เก่ามาเป็นหัวเชื้อร่วมกับสายพันธุ์ใหม่ (ไบวาเลนต์) แม้ผลกระทบทางคลินิกจะยังไม่ชัดเจนแต่มีหลักฐานในหลอดทดลองชี้ชัดว่าหากใช้สายพันธุ์เดิมฉีดกระตุ้นซ้ำๆจะทำให้การสร้างแอนติบอดีของเม็ดเลือดขาวต่อไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ด้อยประสิทธิภาพลง (immune imprinting*) จึงควรใช้ไวรัสสายพันธุ์ใหม่เท่านั้นในการผลิตวัคซีนในอนาคต
6. คำแนะนำสำหรับวัคซีนโควิด-19 ขององค์การอนามัยโลก อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามลักษณะการแพร่ระบาดที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
7. องค์ประกอบแอนติเจนของวัคซีน COVID-19 ในอนาคตจะได้รับการประเมินเป็นประจำ โดย TAG-CO-VAC โดยพิจารณาจากวิวัฒนาการของไวรัสโคโรนา 2019 ด้วยการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของไวรัสอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้การฉีดกระตุ้นด้วยวัคซีนที่ใช้ไวรัสตัวเดิมซ้ำๆอาจจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดีกล่าวคือเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "Immune imprinting" เป็นกระบวนการที่ระบบภูมิคุ้มกันของเราเรียนรู้จดจำรูปลักษณ์ของไวรัสที่ใช้ผลิตวัคซีน เช่น วัคซีนโควิด-19 อันจะช่วยให้ร่างกายของเราตอบสนอง(สร้างแอนติบอดี) ได้เร็วขึ้นหากพบไวรัสตัวเดิมในอนาคต อย่างไรก็ตามหากร่างกายเรากลับพบกับไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ระบบภูมิคุ้มกันอาจยังคงจดจำรูปแบบเดิมของไวรัสสายพันธุ์เก่าที่เรียนรู้จากวัคซีน ทำให้ไม่สร้างแอนติบอดีต่อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ อุบัติการณ์นี้พบได้ในหลอดทดลองแต่ยังไม่มีความชัดเจนในระบบร่างกายมนุษย์
ภาพจาก : AFP