TNN ความมั่นคงด้านอาหารของจีน ... จากเชิงลบสู่เชิงบวก (ตอน 2) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร

TNN

คอลัมนิสต์

ความมั่นคงด้านอาหารของจีน ... จากเชิงลบสู่เชิงบวก (ตอน 2) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร

ความมั่นคงด้านอาหารของจีน ... จากเชิงลบสู่เชิงบวก (ตอน 2) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร

ความมั่นคงด้านอาหารของจีน ... จากเชิงลบสู่เชิงบวก (ตอน 2) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน

ทั้งนี้ ในแผนพัฒนา 5 ปีฉบับที่ 14 (2021-2025) จีนก็กำหนดเป้าหมายการผลิตธัญพืชไว้ที่ 650 ล้านตันต่อปี ซึ่งจีนก็สามารถบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้มาอย่างต่อเนื่อง โดยได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นจาก 685 ล้านตันในปี 2021 เป็น 695 ล้านตันในปี 2023 

ผลผลิตปีที่ผ่านมานับว่าอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของจีน และส่งผลให้ธัญพืชคงคลังต่อหัวของจีนอยู่ที่ 470 กรัม สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่ 400 กรัมอยู่ค่อนข้างมาก

แม้ว่าพื้นที่การเพาะปลูกต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย อาทิ น้ำท่วม และภัยแล้ง จีนก็ยังสามารถรักษาตำแหน่งแชมป์ผู้ผลิตข้าวสาลีรายใหญ่ที่สุดของโลกเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น โดยในฤดูกาลปี 2023-2024 ผลผลิตข้าวสาลีอยู่ที่เกือบ 140 ล้านตัน ช่วยเป็นวัตถุดิบสำค้ญในการผลิตอาหารแปรรูป อาหารสัตว์ และพลังงาน (เอทานอล) 

ในเชิงคุณภาพ นอกจากการลดการใช้สารเคมีเติมแต่งที่ส่งผลเสียต่อสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง จีนยังนำเอาเทคนิคและนวัตกรรมมาปรับปรุงภาคการผลิตทางการเกษตรอย่างต่อเนื่อง อาทิ ระบบอุปทานอาหารที่หลากหลาย (Diversified Food Supply System) การทำเกษตรแปลงใหญ่ การทำเกษตรแนวดิ่ง (Vertical Farming) และอื่นๆ 

ความมุ่งมั่นในการดำเนินการเหล่านี้ทำให้ผลผลิตทางเกษตรของจีนพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง ชาวจีนในยุคหลังจึงไม่ขาดแคลนอาหาร และมีอัตราการบริโภคเนื้อสัตว์ สินค้าประมง ผลิตภัณฑ์นม และอื่นๆ เพิ่มขึ้น 

ประเด็นที่สอง จีนประสบความสำเร็จในแก้ปัญหาอาหารขาดแคลนอย่างไร?

เราต้องยอมรับว่าจีนทุ่มเททำหลายด้านไปพร้อมกัน นอกจากการให้ความสำคัญในระดับนโยบายจากส่วนกลางแล้ว จึงยังเดินหน้าแก้ไขปัญหาที่มีอยู่และพัฒนาการเกษตรในระดับท้องถิ่น ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว 

อย่างที่เราคุยกันไปเมื่อตอนก่อนว่า การพัฒนาด้านเกษตรกรรมถือเป็นเรื่องที่พรคคฯ และรัฐบาลจีนให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวด โดยบรรจุเป็นเอกสารฉบับที่ 1 ของการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติมาอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน จีนก็กำหนดทิศทางและเป้าหมายการพัฒนาที่ชัดเจน โดยออกกฎหมายว่าด้วยความมั่นคงด้านอาหารฉบับล่าสุดเมื่อปี 2023 และตัั้งเป้าระยะยาวที่จะบรรลุความทันสมัยทางการเกษตรและชนบทในปี 2035

ในยุคหลัง จีนยังเดินหน้าปรับจากเกษตรแปลงเล็กสู่เกษตรแปลงใหญ่ ควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนรูปแบบจากเกษตรกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้นเป็นเกษตรอัจฉริยะ โดยเอาเครื่องจักรขนาดใหญ่และเครื่องมืออัตโนมัติมาช่วยลดปัญหาการขาดแคลนเกษตรกรที่โยกย้ายถิ่นฐานจากชนบทสู่ชุมชนเมือง

จีนยังสนใจกับการทำเกษตรเพื่อความยั่งยืน อาทิ อาหาร “สีเขียว” และ “ออกานิกส์” ควบคู่ไปกับการปรับให้เกษตรกรรมของจีนมีความทันสมัยมากขึ้น พร้อมจัดทำคู่มือการเพาะปลูกมาตรฐานเพื่อเพิ่มความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 

ในช่วงหลายปีหลัง การปลูกผักกางมุ้งมีให้เห็นในหลายพื้นที่ของจีน ดังจะเห็นได้จากเวลาที่เราเดินทางไปในบางเมือง ก่อนเครื่องบินลงสนามบินหรือนั่งรถไฟความเร็วสูงผ่านพื้นที่ทางการเกษตร เราก็อาจสังเกตเห็น “มุ้ง” สำหรับการปลูกพืชผักที่สร้างเรียงชิดติดกันยาวต่อเนื่องเป็นระยะทางหลายกิโลเมตร 

เทคนิคการเพาะปลูกดังกล่าวช่วยแก้ไขปัญหาใหญ่ของจีนในหลายส่วน อาทิ การลดการใช้ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง และอื่นๆ และช่วยให้ชีวิตและพื้นที่ในชนบทน่าอยู่มากขึ้น

บทบาทของผู้นำจีน ซึ่งเป็นแบบอย่างทางความคิดของพรรคฯ นับว่ามีส่วนสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาด้านการเกษตรของจีน นอกจากการปฏิรูปครั้งใหญ่จาก “เกษตรนารวม” สู่ “เกษตรนาแยก” แล้ว แคมเปญสำคัญในยุคหลังก็ได้แก่ นโยบายการปฏิรูปภาคการเกษตร และการสร้างความกระชุ่มกระชวยให้กับพื้นที่ชนบท (Rural Revitalization)

การเพิ่มระดับการพึ่งพาตนเองผลิตสินค้าเกษตรก็เป็นอีกตัวอย่างที่ดี ดังจะเห็นได้จากการประชุม Central Rural Work เมื่อไม่นานมานี้ที่ สี จิ้นผิง ได้กล่าวไว้ว่า “ชามข้าวของคนจีนต้องอยู่ในมืออย่างมั่นคง และเต็มไปด้วยพืชผลของจีนเป็นหลัก” สิ่งนี้ “ตอกย้ำ” ถึงการให้ความสำคัญในเชิงนโยบายกับประเด็นความมั่นคงทางอาหารของจีน

นอกจากนี้ จีนยังสนับสนุนส่งเสริมนวัตกรรมด้านการเกษตรให้เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายและเป็นรูปธรรม อาทิ การปลูกพืชและการทำปศุสัตว์แนวดิ่ง 

การวิจัยและพัฒนาเพื่อปรับปรุงสายพันธุ์ข้าวและธัญพืชอื่นนับเป็นอีกตัวอย่างที่ดี ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จีนได้พัฒนาสายพันธุ์ข้าวอย่างต่อเนื่อง และนำไปทดลองปลูกในหลายพื้นที่ที่มีสภาพแวดล้อมต่างกัน ทั้งในและต่างประเทศ จนได้ข้าวพันธุ์ผสมที่ดีและมีผลผลิตต่อไร่สูงขึ้นอย่างเหลือเชื่อ

ทำเอาผลผลิตต่อไร่ของไทยที่เคยสูงกว่าของจีนหายไปในชั่วกระพริบตา ปัจจุบัน ผลิตภาพการเพาะปลูกข้าวของจีนเฉลี่ยสูงกว่าไทยถึง 4-5 เท่าในปัจจุบัน จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ข้าวขาวของไทยจะคิดไปแข่งขันด้านราคาในตลาดจีน

นอกจากนี้ การพัฒนาข้าวพันธุ์ผสมดังกล่าวยังทำให้การเพาะปลูกข้าวของจีน “ก้าวข้าม” ข้อจำกัดในด้านสภาพปัจจัยแวดล้อมอีกด้วย 

จีนถือเป็นประเทศที่ต้องเผลิญกับข้อจำกัดของพื้นที่ “ดินเค็ม” และ “ดินด่าง” มากเป็นอันดับ 3 ของโลก อาทิ พื้นที่ย่าน “อกไก่” บริเวณปากแม่น้ำแยงซีเกียง และ “หงอนไก่” แถวมณฑลเฮยหลงเจียง ทางซีกตะวันออกเฉียงเหนือของจีน

การพัฒนาสายพันธุ์ข้าวที่เหมาะสมกับการเพาะปลูกในน้ำกร่อยมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้จีนสามารถใช้พื้นที่ “ดินเค็ม” ดังกล่าวเพื่อการเพาะปลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีผลผลิตมากกว่าเดิมถึงกว่า 100 เท่า และบางสายพันธุ์ก็ให้ผลผลิตมากกว่าค่าเฉลี่ยการผลิตข้าวของไทยถึงราว 2 เท่าในปัจจุบัน และส่งผลให้พื้นที่เหล่านี้เป็น “อู่ข้าว” ที่สำคัญของจีนในช่วงหลายปีหลังและต่อเนื่องไปในอนาคต

ทุกวันนี้ เวลาสมาชิกครอบครัว “ล้อมวง” รับประทานอาหารร่วมกัน พ่อแม่และผู้ปกครองชาวจีนมักปลูกฝังให้ลูกหลานตระหนักและกล่าวขอบคุณต่อ ดร. หยวน หลงผิง (Yuan Longping) ซึ่งเป็นบิดาแห่งข้าวพันธุ์ผสมของจีนที่อุทิศตนและมอบสิทธิบัตรข้าวพันธุ์ผสมที่ได้จากการค้นคว้าวิจัยทั้งชีวิตเป็นสมบัติชาติ

ส่วนหลังนี้สะท้อนว่า คนจีนไม่เพียงต้องการมี “ตำแหน่ง” ในองค์กรเท่านั้น แต่ส่วนใหญ่ต้องการเป็น “รัฐบุรุษ” ที่ได้รังสรรค์คุณประโยชน์แก่สังคมโดยรวมและสร้างชื่อเสียงให้แก่วงศ์ตระกูลในระยะยาว ดั่งคำกล่าวอมตะของอดีตผู้นำจีนที่ว่า “ลี่กั๋ว ลี่หมิน” (เพื่อชาติและประชาชน) 

ขณะเดียวกัน พนักงานของรัฐและประชาชนชาวจีนก็พร้อม “ร่วมแรงร่วมใจ” เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนส่งเสริมการดำเนินนโยบายของภาครัฐ ซึ่งทำให้จีนมีพลังที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

คุยต่อในประเด็นอื่นในตอนหน้าครับ ...


ภาพจาก: AFP

ข่าวแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง