จีนทำอย่างไรให้ SME เติบใหญ่ (ตอนจบ) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร
จีนทำอย่างไรให้ SME เติบใหญ่ (ตอนจบ) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน
มาถึงประเด็นสำคัญว่าจีนมีโมเดลการพัฒนาขีดความสามารถ SME ในระยะยาวอย่างไร ...
อย่างที่เกริ่นไปก่อนหน้านี้ ในการสนับสนุนส่งเสริมการพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน SME จีนกำหนดนโยบายและดำเนินมาตรการอย่างหลากหลาย แต่เนื่องจากวิกฤติโควิดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้มาตรการส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาในระยะสั้น
แต่กระทรวงอุตสาหกรรมฯ ของจีนก็มิได้มองข้ามการพัฒนาในระยะยาวอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับการรักษาสถานะขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการผลิตของประเทศ และปรับโครงสร้าง SME ด้านการผลิตสู่ระดับโลก
ในการนี้ จีนดำเนินการผ่านการใช้ “ระบบการบ่มเพาะทรงปิระมิด” (Pyramid Cultivation System) ซึ่งเป็นโมเดลการพัฒนา SME ของเยอรมนีเป็นพื้นฐาน
โมเดลการพัฒนาดังกล่าวจำแนก SME ด้านการผลิตที่เข้าร่วมโครงการออกเป็น 4 ระดับจากล่างสุดสู่บนสุด โดยเปรียบได้กับการจัดชั้นนักกีฬาเพื่อแข่งขันกีฬาในระดับที่สูงขึ้น ดังนี้
ประเภท | เป้าหมาย (ราย) ภายในปี 2025 | ระดับการจัดชั้น (เทียบกับการเป็นนักกีฬา) |
• SME ที่มีนวัตกรรม (Innovative SME | 1,000,000 | จังหวัด |
• SME เฉพาะด้าน (Specialized SME) | 100,000 | เขต |
• ยักษ์เล็ก (Little Giants) | 10,000 | ประเทศ |
• แชมป์การผลิต (Manufacturing Champions) | 1,000 | ระหว่างประเทศ |
โมเดลดังกล่าวนี้ถูกออกแบบให้สถานะของ SME ที่เกี่ยวข้อง “มีขึ้นมีลง” จากระดับหนึ่งสู่อีกระดับหนึ่ง และ “มีเข้ามีออก” ซึ่งเป็นเสมือน “ทางลัด” ในการเข้าออกจากโครงการ โดยมีระบบการประเมินเพื่อจัดระดับ
ชั้นทุก 3 ปี โดยมีเกณฑ์การประเมินที่วัดตามระดับความสามารถและความพร้อมของ SME
ยกตัวอย่างเช่น การก้าวขึ้นเป็น “ยักษ์เล็ก” (Little Giants) SME ด้านการผลิตที่เกี่ยวข้องจะต้องผ่านเงื่อนไขการประเมิน ดังนี้
1. สถานะปัจจุบัน ต้องมีพนักงานน้อยกว่า 1,000 ราย และรายได้น้อยกว่า 400 ล้านหยวน ทั้งนี้ อย่างน้อย 70% ของรายได้ดังกล่าวต้องมาจากธุรกิจหลักที่อยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมายภายใต้นโยบาย Made in China 2025 หรือเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานดังกล่าว
2. สถานะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ต้องมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 5% ต่อปี มีสัดส่วนทรัพย์สินต่อหนี้สิน 70% ขึ้นไป และมีส่วนแบ่งตลาดจีน 10% ขึ้นไป รวมทั้งลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาไม่น้อยกว่า 3% และยื่นจดสิทธิบัตรมากกว่า 2 ฉบับ
จะเห็นได้ว่า ระบบดังกล่าวจึงไม่เพียงสะท้อนถึง “ความต่อเนื่อง” แต่ยังตอกย้ำถึง “ความเข้มข้น” ในการพัฒนาขีดความสามารถของ SME สู่เวทีโลกอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผ่านการจัดระดับชั้นเป็น “ยักษ์เล็ก” ที่มีความเป็นเลิศสำหรับตลาดภายในประเทศ และประสบความสำเร็จในตลาดต่างประเทศ ซึ่งเสมือนการสร้างทีมนักกีฬาทีมชาติจีนเพื่อ “ฟูมฟัก” เป็นทีมนักกีฬาโอลิมปิกของจีน
คำถามที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ ทำไม SME จีนต่างมุ่งเป้าการพัฒนาสถานะสู่ “ยักษ์เล็ก” ...
มีหลายเหตุผลครับ ประการแรก เมื่อได้รับการจัดชั้นขึ้นสู่สถานะ “ยักษ์เล็ก” SME ที่เกี่ยวข้องจะได้รับเงินทุนจากภาครัฐก้อนใหญ่เพื่อสนับสนุนด้านการวิจัยและพัฒนา
ประการที่ 2 สถานะ “ยักษ์เล็ก” ยังเป็น “ใบเบิกทาง” ให้ SME สามารถไปขึ้นทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปักกิ่ง (Beijing Stock Exchange) ซึ่งเป็นตลาดหุ้นสำหรับ SME เป็นการเฉพาะ
โดยนับแต่ก่อตั้งเมื่อปี 2021 ตลาดฯ ได้อนุมัติให้ “ยักษ์เล็ก” ที่มีความพร้อมและโดดเด่นด้านนวัตกรรมจำนวนกว่า 70 รายเข้าไปทำ IPO ซึ่งคิดเป็นราว 40% ของจำนวน SME ที่ลิสต์ในตลาดฯ โดยรวม
ประโยชน์ถัดมาก็คือ “ยักษ์เล็ก” สามารถออกตราสารทางการเงินได้ อาทิ หุ้นกู้ ทำให้การระดมทุนมีทางเลือกมากขึ้นและเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ซึ่งทำให้สามารถทำโครงการความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐของจีน และง่ายในการพัฒนาความร่วมมือกับพันธมิตรในห่วงโซ่อุปทานและอุตสาหกรรม
สิ่งที่เป็นความท้าทายใหญ่ของกระทรวงอุตสาหกรรมฯ ในการเป้าหมายจำนวน SME ในแต่ละระดับก็คือ จีนมีจำนวน SME หลายสิบล้านรายที่กระจายอยู่ในหลายร้อยเมืองทั่วประเทศ
ข้อมูลของกระทรวงอุตสาหกรรมฯ จีนระบุว่า ณ สิ้นปี 2023 SME ด้านการผลิตของจีนได้รับการรับรองเป็น SME เฉพาะด้านจำนวน 70,000 ราย และยักษ์เล็กจำนวน 12,000 ราย
เพื่อบรรลุเป้าหมายในปี 2025 (สิ้นสุดแผนพัฒนา 5 ปีฉบับที่ 14) กระทรวงอุตสาหกรรมฯ จึงร่วมมือกับองค์กรเครือข่ายในระดับมณฑล/มหานครและเล็กลงไป ช่วยติดตามช่วยเหลือการพัฒนาด้านนวัตกรรมอย่างใกล้ชิดก่อนจัดระดับความสามารถในการแข่งขันของ SME เป็นระยะ ความสำเร็จในการดำเนินโครงการจึงต้องยกเครดิตส่วนหนึ่งให้องค์กรเครือข่ายดังกล่าวด้วย
ยกตัวอย่างเช่น ฉางชา เมืองเอกของมณฑลหูหนาน ก็ดําเนินกิจกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสภาพแวดล้อมทางธุรกิจและส่งผู้ปฏิบัติงานเพื่อให้บริการที่ครอบคลุมแก่ SME ที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มความมั่นใจและกระตุ้นความมีชีวิตชีวาของตลาด
โดยในระยะหลัง ฉางชาได้พยายามสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อบ่มเพาะ “ยักษ์เล็ก” จนมีจำนวนระดับประเทศกว่า 140 แห่ง อยู่ในอันดับที่ 4 ในบรรดาเมืองเอก และอันดับที่ 13 ในบรรดาเมืองทั่วประเทศ
ฉางชายังคง “เดินหน้า” ให้ความสำคัญกับเครือข่ายอุตสาหกรรมและบ่มเพาะ SME คุณภาพสูงเพื่อเพิ่มจํานวน SME ในแต่ละระดับ โดยตั้งเป้าพัฒนา SME ที่มีนวัตกรรมมากกว่า 1,000 ราย และ “ยักษ์เล็ก” 300 รายเพื่อเป็นเครื่องยนต์ใหม่สําหรับการพัฒนาคุณภาพสูงของเศรษฐกิจด้านการผลิตของเมืองในอนาคต
เหตุการณ์ทำนองเดียวกันเกิดขึ้นกับหลายร้อยหัวมืองในจีน และจะยังไม่หยุดแค่นั้นอย่างแน่นอน ลองคิดดูว่า หากจีนบรรลุเป้าหมายการพัฒนา SME ด้านการผลิตของจีนตามที่กำหนดไว้ เราก็จะเห็น “แชมป์การผลิต” จำนวน 1,000 รายก้าวขึ้นสู่เวทีโลก
ผมเห็นการส่งเสริมด้านนวัตกรรมด้วยการรับเอาโมเดลการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวมาปรับใช้อย่างจริงจังและต่อเนื่อง การทวีกำลังของหน่วยงานภาครัฐและองค์กรเครือข่ายที่แผ่ซ่าน และความเป็นผู้ประกอบการอย่างทุ่มเทเพื่อสานฝันของ SME ด้านการผลิตของจีนด้วยนวัตกรรมแล้ว ก็ไม่แปลกใจว่าทำไม SME จีนจึงพัฒนาอย่างมีคุณภาพสูงและก้าวออกสู่ตลาดต่างประเทศแทบไม่เว้นแต่ละวัน
ขณะที่ภาคการผลิตก็มีความเข้มแข็งและเป็นกำลังสำคัญของการเติบใหญ่ของเศรษฐกิจมหภาคอย่างมีเสถียรภาพ ผมจะมีโอกาสได้เห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในไทยบ้างไหมหนอ ...
ภาพจาก reuters
ข่าวแนะนำ