จีนทำอย่างไรให้ SME เติบใหญ่ (ตอน 4) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร
จีนทำอย่างไรให้ SME เติบใหญ่ (ตอน 4) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน
หายหน้าไปเคลียร์งานที่เซี่ยงไฮ้ซะหนึ่งสัปดาห์ พอดีช่วงอยู่ที่จีนมีงานแน่นจนหาเวลาปั่นต้นฉบับตอนใหม่ไม่ได้ บางวันทีมงานช่วยจัดคิวให้แบบ “เต็มเหยียด” จำได้ว่ามีอยู่วันหนึ่งผมที่ต้องบินไปเข้างานประชุมต่อเนื่องที่ปักกิ่งแบบ “วันเดียวจบ” แบบแน่นๆ แม้กระทั่งช่วงเวลามื้อกลางวันและมื้อเย็นก็ถูกใช้ประโยชน์หมด
วันนั้นผมเลยต้องออกจากเซี่ยงไฮ้ด้วยเที่ยวบินเช้าสุดและกลับด้วยเที่ยวบินสุดท้าย เรียกว่าพอเดินลงสนามบินหงเฉียวที่เซี่ยงไฮ้ตอนเกือบเที่ยงคืน ก็ทำให้ผมอดนึกถึงบรรยากาศเก่าๆ สมัยที่ผมไปประจำที่เซี่ยงไฮ้เมื่อเกือบ 20 ปีก่อนไม่ได้
ผมจำได้ว่าตอนนั้นงานก็ชุกและใช้ประโยชน์จากทุกนาทีในแต่ละวันแบบนี้เหมือนกัน เวลาบินไปปฏิบัติงานในหัวเมืองอื่นในเขตอาณาของสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครเซี่ยงไฮ้ อาทิ เสิ่นหยาง ฉางชุน และฮาร์บิน ซึ่งอยู่แถบ “หัวไก่” ของจีน ก็ต้องเดินทางแบบนี้อยู่บ่อยๆ
แต่สิ่งสำคัญที่ได้รับอย่างคาดไม่ถึงจากการเดินทางเช่นนี้ก็คือ ฝ่ายจีนมักตระหนักถึงความ “จริงจัง” และ “จริงใจ” ที่เรามีให้ และยินดี “ร่วมมือ” และ “สนับสนุน” อย่างเต็มกำลังเพื่อให้สินค้าและบริการของ SME ไทยมีเวทีแจ้งเกิดในตลาดจีนอย่างเป็นรูปธรรม
เราไปคุยกันต่อดีกว่าว่า จีนทำอย่างไรจึงช่วยให้ SME สร้างนวัตกรรมผ่านการวิจัยและพัฒนา (R&D) และพัฒนาระบบนิเวศส่วนอื่น จนนำไปสู่การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันครับ ...
ผมเกริ่นไปก่อนหน้านี้แล้วว่า SME จีนโดยรวมมีลักษณะและความสามารถพิเศษในหลายส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสริมสร้างนวัตกรรมบนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
ดังจะเห็นได้ว่า SME เหล่านี้มีบทบาทอย่างมากต่อการเป็นผู้ประกอบการและการจ้างงาน “คนรุ่นใหม่” อันนำไปสู่การ “คลอด” สินค้าและบริการใหม่ๆ ดังที่เราเห็นในคลิปมากมายที่ว่อนอยู่ในโลกสื่อสังคมออนไลน์
คุณประโยชน์ของ SME ในด้านเศรษฐกิจและสังคมทั้งทางตรงและทางอ้อมสะท้อนว่า รัฐบาลจีนมิได้คิดและมุ่งหวังเพียงแค่การยืดอายุ “วงจรชีวิต” ของ SME ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ราว 3 ปีครึ่งให้ยาวนานออกไปเท่านั้น แต่ยังต้องการเห็น SME แข็งแกร่งและเติบโตเป็นกิจการขนาดใหญ่อีกด้วย
ดังที่เราเห็นว่า SME จีนมีสัดส่วนคิดเป็นเกือบ 60% ของกิจการที่เข้าลิสต์ในตลาดหลักทรัพย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดหุ้นปักกิ่งที่จัดตั้งขึ้นสำหรับ SME ในยุคหลังโควิด ก็มี SME จำนวนกว่า 50 แห่งไปขึ้น IPO แล้ว
ดังนั้น นโยบายและมาตรการสนับสนุนส่งเสริม SME จึงไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะการลดค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมในการประกอบการเพื่อหวังผลระยะสั้นเท่านั้น แต่ยังมุ่งหวังการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนอีกด้วย
นับแต่ปี 2015 รัฐบาลจีนได้ลดภาษีและค่าธรรมเนียม และกำหนดสิทธิประโยชน์ด้านการคลังเพื่อสนับสนุน R&D และนวัตกรรมแก่บริษัทจีนเพิ่มขึ้นโดยลำดับ
ทั้งนี้ ในปี 2023 การลดภาษีและค่าธรรมเนียมมีมูลค่ารวมมากกว่า 2.2 ล้านล้านหยวน ซึ่งช่วยเติมพลังให้กับการพัฒนาเศรษฐกิจและภาคธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม SME ในภาคการผลิต และเพิ่มความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายด้านนวัตกรรมทางเทคโนโลยีของบริษัทจีนเป็นอย่างมาก
นโยบายการคลังที่เอื้อประโยชน์ในการหักภาษีที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ถูกใช้เพื่ออํานวยความสะดวกและสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมให้กับบริษัท ขณะเดียวกัน อัตราการหักภาษีก็อาจแตกต่างกันตามนโยบายสนับสนุน
อาทิ ผู้ผลิตวงจรรวมและเครื่องจักรเครื่องมือที่จีนต้องการเพิ่มระดับการพึ่งพาตนเองได้รับสิทธิ์ในการหักค่าใช้จ่ายก่อนหักภาษี 120% ของจํานวนเงินจริงระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2023 ถึง 31 ธันวาคม 2027
ด้วยนโยบายและมาตรการดังกล่าว ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้าน R&D และสัดส่วน R&D/GDP ของจีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และขยับเข้าใกล้ระดับของสหรัฐฯ เยอรมนี ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้เข้าไปทุกขณะแล้ว
นอกจากนี้ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2024 รัฐบาลจีนโดยคณะกรรมการการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ หรือ “เอ็นดีอาร์ซี” (NDRC) ยังออก 22 มาตรการที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพสูง โดยส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมไปสู่ระดับไฮเอนด์ อัจฉริยะ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
มาตรการชุดนี้นอกจากครอบคลุมถึงการลดต้นทุนทางการเงินโดยรวมอย่างมีเป้าหมายผ่านการลดภาระภาษี ค่าธรรมเนียม และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และการปรับปรุงคุณภาพและประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์แล้วมุ่งเน้นการเพิ่มขีดความสามารถในด้านนวัตกรรมของธุรกิจ
โดยกำหนดในรูปของการหักค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาก่อนหักภาษี และการลดหย่อนภาษีสําหรับการถ่ายโอนเทคโนโลยี รวมไปถึงการเร่งแปลงการวิจัยและพัฒนาไปสู่ผลผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งของ SME ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมายตามนโยบาย Made in China 2025 และอุตสาหกรรมที่มีการจ้างงานคุณภาพสูง
นโยบายที่ชัดเจนดังกล่าวเป็นตัวกำกับกรอบและทิศทางการพัฒนาที่ดี เพราะมีส่วนช่วยให้ SME รู้ว่าควรจะพัฒนาธุรกิจอะไรและลงทุนในงานวิจัยและพัฒนาไปในทิศทางใด ทำให้ผลงานวิจัยไม่ได้ “ขึ้นหิ้ง” ใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ได้ ส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานและอุตสาหกรรมมีความแข็งแกร่ง ยืดหยุ่น และทรงพลังอย่างแท้จริง
ในโมเดลการพัฒนา “ทั้งระบบนิเวศ” จีนยังลงทุนกับการพัฒนาคน และตระเตรียมโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวข้องให้อย่างพร้อมสรรพ
สิ่งนี้ทำให้นักลงทุนสามารถศึกษาหรือขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ภาครัฐและองค์กรที่เกี่ยวข้องได้ SME เองก็พลอยได้รับประโยชน์ในการเลือกพื้นที่ลงทุนและโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ภาครัฐจัดเตรียมไว้อย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้การลงทุนของภาครัฐถูกใช้งานอย่างเต็มที่ตามไปด้วย
การกำหนดหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบในการกำกับดูแล SME ก็มีความชัดเจน อันได้แก่ กระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ และสมาคมวิสาหกิจการขนาดเล็กและขนาดกลางแห่งชาติ (China Association of Small and Medium-Sized Enterprises)
แต่ละหน่วยงานมีภารกิจและขอบข่ายความรับผิดชอบที่ชัดเจน ได้รับอำนาจและถูกมอบหมายงานอย่างเต็มกำลัง โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำหน้าที่สนับสนุน ไม่เป็น “เบี้ยหัวแตก” ดังเช่นที่เกิดขึ้นในบ้านเรา ซึ่งช่วยลดความซ้ำซ้อนในพัฒนา SME หรือทำให้เกิดสับสนแต่อย่างใด
มาถึงวันนี้ ผมเชื่อว่าผู้อ่านหลายคนยังงุนงงกับบทบาทหน้าที่ของกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ในการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของ SME ไทยอยู่เลย แต่ละภาคส่วนยังทำงานแบบ “แยกส่วน” โดยขาดการ “บูรณาการ” ระหว่างกัน แถมพอลงระดับปฏิบัติ เนื้องานในหลายส่วนก็ทับซ้อนกันและถูกใช้เป็นเครื่องมือขององค์กรภาคเอกชนไปโดยไม่รู้ตัว
ท่านผู้อ่านอาจได้รับทราบมาบ้างว่าสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ได้รับมอบหมายให้เป็นหน่วยงานหลักในการกำหนดนโยบายและทำหน้าที่เป็นผู้บริหารกองทุน และสำนักงานพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ISMED) ทำหน้าที่ดำเนินกิจกรรมและโครงการที่เกี่ยวข้อง
แต่ผมก็มักได้ยินเสียงครหาจาก SME มาเป็นระยะว่า แต่ละส่วนงานไม่ได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างเหมาะสม และร้องเพลง “คนละคีย์” อยู่เสมอ
ขณะเดียวกัน เรายังเปิดให้มีการจัดตั้งสมาคมและองค์กรเอกชนที่เกี่ยวข้องมากมาย อาทิ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย และสภาเอสเอ็มทีไทยที่ผมเองก็ไม่ทราบว่ามีบทบาทหน้าที่แตกต่างกันอย่างไร บ่อยครั้งก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง
ความซ้ำซ้อนดังกล่าวนอกจากจะเป็นความ “สิ้นเปลือง” โดยใช่เหตุแล้ว ยังทำให้เกิดเป็น “ช่องโหว่” ให้คณะกรรมการบริหารองค์กรเหล่านี้บางคน “คิดไม่ซื่อ” จัดกิจกรรมและโครงการในนามองค์กร อาทิ งานสัมมนา และงานเจรจาธุรกิจ เพื่อหวังหลอก SME ที่รู้ไม่เท่าทันให้ตกเป็นเหยื่ออยู่เนืองๆ
ยังมีอีกหลายประเด็นที่ผมอยากแลกเปลี่ยน ยังไงติดตามอ่านต่อตอนหน้าครับ ...
ข่าวแนะนำ