TNN เมื่อ BRICS ทะยานคับฟ้า (ตอน 2) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร

TNN

คอลัมนิสต์

เมื่อ BRICS ทะยานคับฟ้า (ตอน 2) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร

เมื่อ BRICS ทะยานคับฟ้า (ตอน 2) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร

เมื่อ BRICS ทะยานคับฟ้า (ตอน 2) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน

นอกจากด้านการค้า ธุรกรรมการลงทุนระหว่างกันภายในกลุ่ม BRICS ก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จีนถือเป็น “นักลงทุน” รายใหญ่สุดของกลุ่ม เราได้เห็นธุรกิจน้อยใหญ่ของจีนขยายการลงทุนในรัสเซีย ทดแทนการถอนตัวของธุรกิจกลุ่ม G7 แบบเนียนตา ขณะที่รัสเซียเดินหน้าโครงการท่อขนส่งน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติผ่านไซบีเรียไปยังจีนโดยได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากจีน

นอกจากนี้ รัสเซียก็ประกาศขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาดในอินเดีย ขณะเดียวกัน รัสเซียและอินเดียก็ยังบรรลุความร่วมมือในการลงทุนในการก่อสร้างเส้นทางรถไฟระหว่างกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปีที่ผ่านมาที่จีนทำหน้าที่เป็นประธานกลุ่ม BRICS (ที่หมุนเวียนกันไป) แนวคิดและนโยบายใหม่ของ BRICS ที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาก็ยังได้ถูกนำเสนออย่างสร้างสรรค์ อาทิ การพยายามหันมา “ยืนบนลำแข้งของตนเอง” การพัฒนาที่ “รวยไปด้วยกัน” และ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”

แนวคิดและนโยบายเหล่านี้อาจดูคล้ายกับสิ่งที่สหรัฐฯ และชาติพันธมิตรผลักดันการดำเนินการในช่วงหลายปีที่ผ่านมา


เมื่อ BRICS ทะยานคับฟ้า (ตอน 2) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร ภาพจาก  TNN World Today

 


แต่สำหรับผมแล้ว แนวคิดและนโยบายใหม่ดังกล่าวก็เต็มไปด้วยความ “สร้างสรรค์” และแฝงไว้ด้วยความ “แยบยล” ที่ทำให้ประสิทธิผลการดำเนินงานของกลุ่ม BRICS “เหนือกว่า” ของกลุ่ม G7

จีนมุ่งมั่นกับมิติของ “การพัฒนา” โดยนำเอาแนวคิดและนโยบายที่ตนเองพัฒนาจนตกผลึกมาขยายผลในกลุ่ม BRICS อาทิ ข้อริเริ่มทางการค้าและการลงทุนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ไล่ไปถึงกรอบความเป็นพันธมิตรด้านเศรษฐกิจดิจิตัล กลไกความร่วมมือด้านอวกาศ และศูนย์วิจัยและพัฒนาวัคซีน

ประการสำคัญ แนวคิดและนโยบายใหม่ดังกล่าวเป็นสิ่งที่จีนเก่งและเห็นประโยชน์ในการนำไปแบ่งปันและประยุกต์ใช้กับสมาชิกอื่น

ยิ่งเมื่อผสมผสานกับ “ผลประโยชน์ร่วมในระยะยาว” ก็ทำให้สมาชิกกลุ่มให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ส่งผลให้การพัฒนาเศรษฐกิจของกลุ่มดูเหมือนจะพุ่งทะยานไปอีกระดับหนึ่ง ขณะเดียวกัน ประเทศนอกกลุ่มก็ให้ความสนใจอยากเข้ามาร่วมโครงการและสมัครเป็นสมาชิก ทำให้ BRICS “เนื้อหอม” อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

หากเราพิจารณาเปรียบเทียบกับกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ อาทิ เอเปค (APEC) G7 และ G20 ก็พบว่าดูจะมีข้อจำกัดในการเพิ่มจำนวนสมาชิกและอิทธิพลต่อการค้าและเศรษฐกิจโลก แต่ BRICS ยังอยู่ในช่วง “ขาขึ้น” ที่สามารถระดมสรรพกำลังและแสดงบทบาทในการส่งเสริมการพัฒนาและความร่วมมือจากกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาได้อีกมาก

ในทางกลับกัน กลุ่ม G7 ดูจะอยู่ในช่วง “ขาลง” อย่างชัดเจน กล่าวคือ ในช่วงหลายปีหลัง สมาชิกกลุ่ม G7 ต่างประสบกับปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างหนักหน่วง อาทิ สภาวะเงินเฟ้อ และการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และคาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะฟื้นตัว ส่งผลให้จีดีพีของ BRICS สามารถก้าวแซง G7 ได้ในที่สุด


 นักวิชาการหลายสำนักประเมินขนาดเศรษฐกิจจากด้านกำลังซื้อ (PPP) ในปี 2022 พบว่า จีดีพี โดยรวมของ BRICS ก้าวแซงของ G7 โดยจีดีพีของ BRICS มีสัดส่วน 31.5% ของจีดีพีโลก ขณะที่สัดส่วนของ G7 ต่อเศรษฐกิจโลกลดลงเหลือราว 30.7%


ทั้งนี้ ผู้เล่นรายหลักของ BRICS ก็ได้แก่ จีนที่พัฒนาเศรษฐกิจของตนเองให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทำให้จีดีพีจากมุมมองด้าน PPP ของจีนที่มีด้านปริมาณอยู่เดิมเสริมด้วยเชิงคุณภาพ ก้าวแซงสหรัฐฯ นับแต่ปี 2015 และทิ้งห่างมากขึ้นโดยลำดับ

มองออกไปข้างหน้า เศรษฐกิจของ BRICS มีแนวโน้มจะขยายตัวในอัตราเฉลี่ยที่สูงกว่าของ G7 อยู่ต่อไป


เมื่อ BRICS ทะยานคับฟ้า (ตอน 2) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร ภาพจาก AFP

 


ผมกำลังบอกว่า BRICS ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มของประเทศกำลังพัฒนา ได้กลายเป็นกลุ่มประเทศหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก และเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปรากฏการณ์ดังกล่าวทำให้ประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมากสนใจสมัครเข้าเป็นสมาชิกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน การเพิ่มจำนวนสมาชิกยังเป็น “วาระ” สำคัญของกลุ่ม BRICS ที่ต้องการสร้างพื้นที่ที่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีแก่ประเทศกำลังพัฒนาในวงกว้าง และขณะเดียวกันก็พยายามหลีกเลี่ยงข้อครหาในการพัฒนากลุ่มความร่วมมือที่ “ทรงอิทธิพล” ด้านการเมืองและการทหาร

ในปี 2022 กลุ่มได้กำหนดนโยบาย “BRICS Plus” เพื่อขยายความร่วมมือออกไปสู่สมาชิกเดิม โดยปัจจุบัน BRICS มีประเทศที่สนใจเข้ามาเป็นสมาชิกมากกว่า 10 ประเทศ ส่วนใหญ่เป็นพันธมิตรของสมาชิก BRICS เดิม จีนและรัสเซียได้ดึงเอาพันธมิตรในกรอบความร่วมมืออื่นเข้ามาเสริมพลังกันในเวทีนี้

ความทุ่มเทในการปูพื้นและสานสัมพันธ์จนนำไปสู่เวทีการประชุมสุดยอดระหว่างจีนกับหลายกลุ่มประเทศ อาทิ แอฟริกา อเมริกาใต้ และตะวันออกกลาง รวมทั้งเอเชียกลาง ผ่านองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Cooperation Organization) ทำให้คาดว่าเราจะได้เห็นคาซักสถาน อิหร่าน ซาอุดิอาระเบีย ยูเออี และบาห์เรนเข้ามาเป็นสมาชิกในอนาคตอันใกล้

ขณะเดียวกัน อินโดนีเซีย ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่และจำนวนประชากรที่มากสุดในอาเซียน ก็เป็นหนึ่งประเทศที่เข้าคิวรออยู่ ขณะที่ในทวีปแอฟริกา ก็คาดว่าจะมีอียิปต์ ไนจีเรีย แอลจีเรีย และเซเนกัล เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ BRICS เช่นกัน

แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ แม้กระทั่งเม็กซิโกที่เป็นพันธมิตรเก่าแก่ของแคนาดาและสหรัฐฯ ภายใต้เขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) ที่ภายหลังเลี่ยนมาใช้ชื่อ ความตกลงแคนาดา-สหรัฐฯ-เม็กซิโก (CUSMA)

รวมทั้งนิคารากัว และอาร์เจนตินา ซึ่งอยู่ในภูมิภาคละตินอเมริกา พื้นที่อิทธิพลของสหรัฐฯ ก็ส่อเค้าว่าจะกระโดดเข้าร่วม BRICS ในอนาคตเช่นกัน

สิ่งนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความแข็งแกร่งและความกระจายตัวในเชิงภูมิศาสตร์ของกลุ่ม BRICS ในอนาคต แต่ยังบ่งบอกถึงความไม่มั่นใจของเม็กซิโกและประเทศในภูมิภาคที่มีต่อสหรัฐฯ ในการสานต่อความเป็นผู้นำของการค้าเสรีที่เป็นธรรม และการเป็นแกนหลักในเวทีเศรษฐกิจโลก

ด้วยแนวโน้มการเพิ่มขึ้นทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพดังกล่าว เราจึงพอคาดการณ์ได้ว่า ช่องว่างทางเศรษฐกิจระหว่าง BRICS และ G7 จะถ่างกว้างยิ่งขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ เศรษฐกิจของกลุ่ม BRICSคาดว่าจะมีสัดส่วนเป็นถึงกว่า 50% ของจีดีพีโลกภายในปี 2030 หรืออีกเพียง 7 ปีข้างหน้าเท่านั้น!!!

คราวหน้าผมจะพาไปเจาะลึกเกี่ยวกับการประสานความร่วมมือของกลุ่ม BRICS ในด้านการเงิน ซึ่งกำลังส่งผลกระทบต่ออุปสงค์และความน่าเชื่อถือของเงินเหรียญสหรัฐฯ ในเวทีเศรษฐกิจโลก ...


ข่าวแนะนำ