TNN ประเมินตลาดหุ้นจีนปีใหม่ 2568 มีอะไรดีๆ ที่รออยู่

TNN

รายการ TNN

ประเมินตลาดหุ้นจีนปีใหม่ 2568 มีอะไรดีๆ ที่รออยู่

จิตตะ เวลธ์ แนะจับจังหวะหุ้นจีนถูกและอยู่ในช่วงการปรับตัวตั้งรับบนโยบายของ ทรัมป์ ที่อาจขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน โดยอาจเห็นจีนแสวงหาโอกาสใหมๆ และเรงการกระตุ้นภายในประเทศ โดยเน้นลงทุนใน 3 กลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากนโยบายกระตุ้นของรัฐบาลจีนเป็นสำคัญ แต่ก็ไมควรลงทุนเกินร้อยละ 15 ของพอร์ต

นายประภัศร์พงษ์ นันทกิจพัฒนา ผู้จัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจิตตะ เวลธ์ จำกัด เปิดเผยว่า หากมองตลาดหุ้นจีนในปี 2568 ที่รัฐบาลจีนตั้งเป้าจะทำให้เศรษฐกิจเติบโตที่ร้อยละ 5 นั้น ในช่วงหลังปีใหม่ก็พบว่า CSI 300 ตัวแทนของหุ้นจีน A-Shares (ดัชนีหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่) และดัชนีฮั่งเส็ง ตัวแทนหุ้น H-Shares (ดัชนีหุ้นจีนฮ่องกง ) ซึ่งติดลบหนักทั้ง 2 ตลาด โดย CSI 300 ติดลบราวร้อยละ 3 และดัชนีฮั่งเส็ง ติดลบประมาณร้อยละ 2 ซึ่งแรงกดดันคาดว่ามาจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ 


ทั้งจากข้อมูลดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (Purchasing Managers Index : PMI) ที่อ่อนแอ ซึ่งเดือนธ.ค. 2567 ที่ผ่านมาก็ปรับลดลงมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ส่งผลให้นักลงทุนกังวลต่อแนวโน้มทางเศรษฐกิจ รวมถึงท่าทีของธนาคารกลางจีน ( PBOC ) เองก็ส่งสัญญาณยังไมรีบในการลดดอกเบี้ย ส่งผลให้ตลาดเพิ่มความกังวลระยะสั้น 


อย่างไรก็ดี แม้ตลาดหุ้นจีนจะเริ่มต้นปี 2568 ไม่สดใส แต่ยังมองตลาดหุ้นจีนในปี 2568 ยังคงมีความน่าสนใจอยู่ จากปัจจัยสนับสนุนใน 3 ด้าน คือ 


1) การเติบโตทางศรษฐกิจที่มีรายงานว่ารัฐบาลจีนยังตั้งเป้าให้เติบโตที่ระดับร้อยละ 5 ซึ่งเป็นตัวลขที่สูงเมื่อเทียบกับหลายๆ ประเทศในภูมิภาค สะท้อนศักยภาพของจีนโดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีและพลังงานสะอาดที่้เป็นเป้าหมายของภาครับ 

2) ความสามารถในการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน ผ่านทางนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง ซึงเป็นได้ชัดในจุดยืนของ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่ประกาศความมุ่งมันจะพัฒนาให้เติบโตตามเป้าหมาย


และ 3) ปัจจัยการบริโภคภายในประเทศ ที่อาจเกิดจากความกังวลของผลกระทบการค้าจากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กำลังจะขึ้นดำรงตำแหน่งประธานธิบดีในอีกไม่กี่วัน ที่ประกาศจะขึ้นภาษีสินค้าจีน ทำให้จีนมีความจำเป็นต้องกระตุ้นภายในประเทศมากขึ้น ซึ่งล่าสุดดัชนี PMI ภาคการบริการของจีนในเดือนธ.ค.2567 ก็ปรับเพิ่มขึ้น 

   

ส่วนการกลับมาของ ทรัมป์ คาดจะส่งผลกระทบต่อบริษัทจีนที่พึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่มทคโนโลยี อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรืออุตวาหกรรมหนักในกลุ่มผู้ผลิตเหล็กและอลูมิเนียม ซึงตลาดหุ้นในกลุ่มเหล่านี้จะเผชิญแรงขายในระยะสั้น จากความกังวลการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ 


แต่ในอีกด้านนโยบายภาษีของสหรัฐฯ อาจเป็นแรงผลักดันให้จีนเร่งพัฒนาตัวเองมากขึ้นในการสร้างความร่วมมือใหม่ในระดับภูมิภาค เช่น จีนอาจหันไปกระชับความสัมพันธ์กับประเทศในภูมิภาคอย่างอาเซียน ซึ่งอาจเปิดความสัมพันธ์ใหม่ให้บริษัทจีน ที่ประเด็นด้านภาษีการค้าอาจไปกระตุ้นให้จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีสำคัญ อาทิ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ( Artificial Intelligence หรือ AI) , เซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) เป็นหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่จะได้การสนับสนุนจากรัฐบาล บวกกับรัฐบาลจีมีศักยภาพในการกระตุ้นในประเทศ โดยจีนอาจมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน หรือ สนับสนุนการบริโภคในประเทศ เช่น การท่องเที่ยว และการอุปโภคบริโภคในประเทศ เป็นต้น 


โดยนักลงทุนที่สนใจในการลงทุนกลุ่มธุรกิจในจีนที่น่าสนใจ คือ กลุ่มหุ้นที่ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง งบการเงินดี และราคาหุ้นค่อนข้างถูก โดยเน้นกระจายความเสี่ยงด้วยการเลือกหุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นของรัฐบาลจีน อย่าง 1.กลุ่มพลังงานสะอาด ซึ่งจีนก็ถือเป็นผู้นำในด้านนี้ด้วย ทั้งการผลิตโซลาร์เซลล์ และการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) 2. กลุ่มการบริโภคในประเทศ ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น อาหารและเครื่องดื่ม รวมไปถึงธุรกิจอีคอมเมิร์ซ  และ 3.กลุ่มเทคโนโลยี อาจเป็นธุรกิจ AI หรือ บิ๊กเดต้า ซึ่งบริษัททีพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ มีโอกาสได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ในการเร่งการพัฒนานวัตกรรม 

 

โดยนักลงทุนสามารถจัดสัดส่วนการลงทุนในพอร์ตส่วนเสริม (Satellite) ไม่เกินร้อยละ 10 ของพอร์ต หรือนักลงทุนที่มีความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นจีนมากๆ และรับความเสี่ยงได้สูง ก็อาจจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนได้ไมไเกินร้อยละ 15 ของพอร์ต เพื่อทยอยสร้างการเติบโตในพอร์ตในระยะยาว ส่วนนักลงทุนที่ถือลงทุนอยู่แล้วควรปรับลดพอร์ตให้ไมเกินร้อยละ 15   

ข่าวแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง