ตลท.เตือนลงทุนหุ้น EE หลังเปลี่ยนผู้ถือหุ้นใหญ่-ปรับแผนธุรกิจ
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ บมจ.อีเทอเนิล เอนเนอยี หรือ EE ชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติม และขอให้ผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลด้วยความระมัดระวังก่อนตัดสินใจลงทุน กรณีบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงธุรกิจ และอำนาจควบคมุบริษัทอย่างมีนัยสำคัญตามที่วันที่ 4 ธันวาคม 2567 ที่บริษัทได้แจ้งสารสนเทศสำคัญมายังตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในวันที่ 11 ธันวาคม 2567
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ บมจ.อีเทอเนิล เอนเนอยี หรือ EE ชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติม ตามที่บริษัทได้แจ้งสารสนเทศสำคัญมายังตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้แจ้งข้ามาเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ดังนี้
1. มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่เป็น นาย พันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ หรือ ที่รู้จักกันในนาม “นอท กองสลากพลัส” ซึ่งเข้ามาถือหุ้น EE ในสัดส่วน ร้อยละ 57.81 และมีหน้าที่ต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่ราคาหุ้นละ 0.14 บาท
2. คณะกรรมการบริษัทมีมติให้เรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อพิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุน 2,720 ล้านหุ้น (ร้อยละ 49.45 ของทุนชำระแล้ว ภายหลังการเพิ่มทุน) ราคาเสนอขายหุ้นละ 0.19 บาท เป็นเงิน 517 ล้านบาท เพื่อเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement : PP) 5 ราย ซึ่งเป็นจำนวนที่มีนัยสำคัญ เนื่องจากกระทบต่อสิทธิออกเสียงของผู้ถือหุ้น (Control Dilution) มากกว่าร้อยละ 25
โดยมีวัตถุประสงค์นำเงินเพิ่มทุนไปใช้ลงทุนในธุรกิจอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและสารสนเทศ (ธุรกิจ Tech) ซึ่งบริษัทคาดว่าจะมี
ผลตอบแทนการลงทุน (IRR) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 12 แต่บริษัทยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้เนื่องจาก อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนและธุรกิจดังกล่าวเป็นธุรกิจของบริษัทจดทะเบียน
ทั้งนี้ จากรายการข้างต้นส่งผลให้ EE มีการเปลี่ยนแปลงทั้งธุรกิจและอำนาจควบคุมอย่างมีนัยสสำคัญ โดยธุรกิจใหม่มีความเสี่ยงที่แตกต่างจากธุรกิจปัจจุบันของบริษัทซึ่งเป็นธุรกิจการเกษตร บริษัทคาดว่าจะลงทุนภายในปี 2568 และมีผลตอบแทนการลงทุน (IRR) ไม่น้อยกว่า 12% จึงเป็นข้อมูลสำคัญต่อการตัดสินใจลงทุน ดังนั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงขอให้ EE ชี้แจงข้อมูลกรอบเวลาที่จะศึกษาความเป็นไปได้ของการลงทุนในธุรกิจ Tech แล้วเสร็จ ผ่านระบบเผยแพร่ข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในวันที่ 11 ธันวาคม 2567 และตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงขอให้ผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลของ EE ด้วยความระมัดระวังก่อนการตัดสินใจลงทุน
และติดตามความคืบหน้าของบริษัทในการเข้าลงทุนในธุรกิจ Tech ต่อไป
ทั้งนี้ ราคาหุ้น EE พุ่งขึ้นร้อยละ 29.63 หรือเพิ่มขึ้น 0.08 บาท มาที่ 0.35 บาท มูลค่าซื้อขาย 1.35 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.04 น.จากราคาเปิด 0.36 บาท
ทั้งนี้ บมจ.อีเทอเนิล เอนเนอยี (EE) เปิดเผยว่า นายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ (หรือนอท สลากพลัส) ได้ทำการซื้อขายหุ้นของ บริษัทฯ ผ่านระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยบนกระดานรายใหญ่ (Big Lot Board) ประจำวันที่ 4 ธันวาคม 2567 จำนวน 1,607,000,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 57.81 ของทุนชำระแล้วของบริษัทฯ ซึ่งส่งผลให้นายพันธ์ธวัช กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ของบริษัทฯ พร้อมแต่งตั้งนายพันธ์ธวัช ให้ดำรงตำแหน่งประธาน กรรมการ และกรรมการใหม่
พร้อมอนุมัติการเปลี่ยนชื่อของบริษัทฯ จากเดิม "บริษัท อีเทอเนิล เอนเนอยี จำกัด (มหาชน)" เป็น "บริษัท เทคลีด เอ็นพีเอ็น จำกัด (มหาชน)"
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ปรับเปลี่ยนธุรกิจจากที่บริษัทมีรายได้จากธุรกิจกัญชงและกัญชา แต่เนื่องจากธุรกืจนี้มีอัตราความเสี่ยงสูงจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาครัฐ และยังมีวงจรเงินสดที่ช้า จึงมีแนวทางในการขยายการลงทุนในธุรกิจอื่นที่มีศักยภาพในการเติบโต โดยสามารถสร้างกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอให้กับบริษัทฯ และสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานะการเงินของบริษัทฯ อีกทั้งช่วยลดความเสี่ยงในการพึ่งพาธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง และเพิ่มโอกาสให้กับบริษัทฯ ในอนาคต ตลอดจนเป็นการเพิ่มศักยภาพและความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ต่อผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholders) รวมถึงเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่สถาบันการเงิน
โดยบริษัทฯ อยู่ในระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในธุรกิจอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและสารสนเทศ ("ธุรกิจ Tech") ซึ่งรวมถึง (1) ธุรกิจสื่อ เทคโนโลยี (Technology Media) (2) ธุรกิจให้บริการชำระเงิน (Payment Gateway Solution) และ/หรือ (3)ธุรกิจแพลตฟอร์มตลาดซื้อขาย (Marketplace Platform)
เนื่องจากเห็นว่าธุรกิจ Tech เป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตจากการสร้างรายได้และความสามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีต้นทุนในการดำเนินงานต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับธุรกิจอื่นที่ต้องลงทุนในสินทรัพย์ และเป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับทิศทางเมกะเท รนด์ (Mega Trend) ซึ่งได้แก่การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล (Digital Transformation) จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันผู้คนใช้ชีวิตและใช้ เวลากับอุปกรณ์สื่อสารกันมากขึ้น ทำให้สื่อออนไลน์และแพลตฟอร์มดิจิทัลมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจประเทศไทยและเศรษฐกิจโลก
โดยแพลตฟอร์มดิจิทัลเป็นการเชื่อมโยงระหว่างผู้บริโภคและผู้ขายหรือภาคธุรกิจผ่านอินเทอร์เน็ต บริษัทฯ จึงมีความสนใจใน การเข้าลงทุนในธุรกิจดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างกระแสเงินสดให้กับบริษัทฯ อย่างสม่ำเสมอ มีผลตอบแทนการลงทุน (IRR) ไม่ น้อยกว่าร้อยละ 12 และมีศักยภาพการเติบโตในอนาคต (Potential Upside) จากธุรกิจที่สอดคล้องกับทิศทางเมกะเทรนด์
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ยังมีมติอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 2,720,000,000 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิ มจำนวน 4,970,000,000 บาท เป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 7,690,000,000 บาท โดยการออกและจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่บุคคลใน วงจำกัด (Private Placement) จำนวน 2,720,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท หรือคิดเป็น ร้อยละ 49.12 ของทุนชำระ แล้วของบริษัทฯ ภายหลังการเพิ่มทุนชำระแล้ว ในราคาเสนอขายหุ้นละ 0.19 บาท คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 516,800,000 บาท เพื่อ เสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด 5 ราย
ทั้งนี้ บริษัทฯ จะนำเงินทุนที่ได้รับจากการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนตามรายการ Private Placement ไปใช้ เพื่อลงทุนในธุรกิจ Tech ประมาณ 467 - 517 ล้านบาท ภายในปี 2568 และใช้เงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ ไม่เกิน 50 ล้านบาทภาย ในปี 2568
ข่าวแนะนำ