ส่องตลาดหุ้นจีน หลังรัฐผ่อนมาตรการหนุนกำลังซื้อฟื้นอสังหาฯ
MFC มอง 3 ปัจจัยที่จะชี้ชะตาอนาคตการลงทุนใน 3 ด้าน คือ Dot plot เฟดในเดือนธ.ค.นี้ ,การเจรจาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และการดำเนินนโยบายของทรัมป์ ส่วนการลงทุนในตลาดถ้าถือในสัดส่วนที่สูงแนะนำให้ปรับลดพอร์ตลงก่อน จากภาพเศรษฐกิจที่ยงเสี่ยงจะเกิดเงินฝืดได้
นายไชยวัฒน์ คมโสภาพงศ์ CFP ตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้อำนวยการ กลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC เปิดเผยว่า สถานการณ์เงินเฟ้อทีปรับขึ้นยังเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ โดยระดับเงินเฟ้อที่ร้อยละ 2.6 ถือว่าไม่ได้น่ากังวลมากนัก ซึ่งมองว่าเงินเฟ้อเริ่มไม่ใช่ประเด็นหลักที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จับตาใก้ชิดแล้ว คาดว่าเฟดน่าจะให้ความสำคัญกับตลาดแรงงานมากกว่า หลังในเดือนต.ค.การจ้างงานปรับลดลงไป ซึ่งอาจมาจากปัจจัยชัวคราวจากพายุเฮอริเคน หรือ ปัจจัยอื่น แต่ถ้าดูโมเมนตัมการจ้างงานนอกภาคการเกษตรมีแนวโน้มชะลอลงมาตั้งแต่ช่วงกลางปีที่ผ่านมา ซึ่งเฟดน่าจะลดดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนธ.ค.นี้ อีกร้อยละ 0.25
ส่วนทิศทางตลาดหุ้นจีนถูกมองว่าน่าจะเป็นตลาดที่ถูกกระทบจากนโยบายของว่าทีประธานาธิบดีทรัมป์ แต่จีนก็เคยถูกกระทบจากสงครามการค้า (เทรดวอร์) มาแล้ว จึงเชื่อว่าครั้งนี้ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน น่าจะมีการตั้งรับด้วยการเข้าเจรจากับสหรัฐแทนการขึ้นภาษีใส่กัน เพราะในช่วงที่ทรัมป์ได้รับชัยชนะทางประธานาธิบดี สี จิ้นผิงก็ได้ออกมาแสดงความยินดี เป็นสัญลักษณ์ว่าอยากจะประนีประนอมมากกว่า
ขณะที่เศรษฐกิจจีนยังไม่ดีเท่าไหร่ ภาวะเงินฝืดอาจเกิดขึ้นได้ ส่วนราคาบ้านในจีนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีนที่ออกมายังมองว่าไมได้มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ตลาดยังคาดหวังเม็ดเงินที่มากกว่านี้ และต้องติดตามดูว่านโยบายกีดกันทางการค้าของทรัมป์จะดำเนินการสำเร็จเพียงใดเพื่ดูผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจริงๆ ดังนั้น การลงทุนในจีนถ้ามีมากไทยเกินระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ก็อาจจะอาศัยจังหวะหุ้นจีนขึ้นขายลดพอร์ตออกไปบ้าง แต่ถ้าถือไม่มากรับความเสี่ยงได้ก็สามารถถือรอดูไปก่อน
ด้านความสนใจในสินทรัพย์ทางเลือกอย่างบิตคอยน์ที่ปรับขึ้นมากค่อนข้างมาก น่าจะเป็นผลจากนโยบายทรัมป์ที่สนับสนุนด้านนี้ ส่วนนโยบายการปรับลดภาษีนิติบุคคลของทรัมป์ที่น่าจะหนุนตลาดหุ้นทำให้ทองคำที่เป็นสัญญาลักษณ์การลงทุนที่ปลอดภัยปรับลดลง สิ่งที่ต้องติดตามในระยะต่อไป คือ Dot plot หรือ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยในอนาคตของเฟด ที่จะออกมาในเดือนธ.ค.ปีนี้้ ว่าในปีหน้าจะลดลงระดับไหน ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่าดอกเบี้ยเฟดน่าจะลดลงเพียง 1-2 ครั้ง จากเดิมที่คาดจะลด 3-4 ครั้ง รวมทั้งความคืบหน้าการเจรจาด้านความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์กับประเทศที่มีการทำสงคราม ว่าจะพูดคุยกันไปได้ขนาดไหน และการดำเนินนโยบายของทรัมป์ที่ประกาศไว้ว่าจะทำได้สำเร็จแค่ไหน เพราะยังไม่มีการดำเนินการอย่างเป็นทางการ แต่ตลาดรับรู้เข้าไปในราคาหุ้นค่อนข้างมากแล้ว
ข่าวแนะนำ