TNN วางกลยุทธ์ลงทุนหุ้นจีนอย่างไร หลังทรัมป์รีเทิร์น

TNN

รายการ TNN

วางกลยุทธ์ลงทุนหุ้นจีนอย่างไร หลังทรัมป์รีเทิร์น

บลจ.จิตตะ เวลธ์ มองหลังการมาของ ทรัมป์ ตลาดจีนยังมีโอกาสเติบโตและมีความน่าสนใจลงทุน จาก 4 ปัจจัยสนับสนุน ทั้งเทคโนโลยีภายในประเทศ การเปลี่ยนแผนพัฒนาประเทศ การสนับสนุนตลาดทุนจากรัฐบาลมากขึ้น และการกระตุ้นเศรษฐกิจจากนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง

นายประภัศร์พงษ์ นันทกิจพัฒนา ผู้จัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจิตตะ เวลธ์ จำกัด เปิดเผยว่า หากประเมินทิศทางตลาดหุ้นจีน หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับชัยชนะขึ้นเป็นนประธานาธิบดีนั้น สถานการณ์การเลือกตั้งครั้งนี้ถือว่ามีความสำคัญกับโลกการเงินและการลงทุนมาก เพราะสหรัฐเป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ นอกจากนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ก็ได้มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC)  ซึ่งผลการประชุมก็ได้เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ปรับลดดอกเบี้ยลงร้อยละ 0.25 ทำให้ความเคลื่อนไหวในสัปดาห์ที่ผ่านมามีความสำคัญ 


นอกจากนี้ เศรษฐกิจจีน ที่ใหญ่เป็นอัดับสองเองก็ได้มีการประชุมคณะกรรมการถาวรแห่งสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) ซึ่งก็ได้ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมด้วยการอนุมัติเพิ่มเพดานหนี้ 6 ล้านล้านหยวน เพื่อแก้ปัญหานี้แอบแฝง (Hidden Debt) ของรัฐบาลท้องถิ่น และทางรัฐมนตรีคลังของจีนก็ยังให้ความเห็นเพิ่มติมว่าจีนสามารถก่อหนี้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมได้อยู่ 


ทั้งนี้ จากสิ่งที่เกิดขึ้น หากเราย้อนกลับไปดูที่ดัชนีตลาดฮั่งเส็ง และดัชนี CSI 300 ในวันที่ 6 พ.ย. ที่ผ่านมาที่ทรัมป์ประกาศชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ก็จะเห็น ดัชนีฮั่งเส็งผลตอบแทนติดลบอยู่ประมาณร้อยละ 2  และดัชนี CSI 300 ติดลบประมาณ ร้อยละ 0.5  เท่านั้น และหลังจากนั้นในวันที่ 7 พ.ย. ทั้ง 2 ตลาดผลตอบแทนก็ปรับขึ้นมาประมาณร้อยละ 2 และร้อยละ 3 ตามลำดับ 


ดังนั้น จิตตะ เวลธ์ จึงมองว่าผลกระทบต่อตลาดหุ้นจีน จากการที่ทรัมป์กลับมาเป็นนประธานาธิบดีอีกครั้งได้สะท้อนมาที่ตลาดหุ้นจีนไปแล้ว ฉะนั้น ทิศทางตลาดหุ้นจีนจะขึ้นกับการประกาศตัวลขสำคัญทางศรษฐกิจมากกว่า โดยเฉพาะในวันที่ 15 พ.ย. นี้ ที่จีนจะประกาศตัวเลขดัชนียอดค้าปลีก (Retail Sales)เดือนต.ค , การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนต.ค , ราคาบ้านใหม่และราคาบ้านมือสอง ฯลฯ ซึ่งถ้าตัวลขต่างออกมาได้ดี มองว่าจะส่งผลเชิงบวกต่อตลาดหุ้นใจให้ปรับตัวขึ้นต่อไปได้ 

 

ส่วนชุดมาตรการของทรัมป์ที่กระทบต่อจีนคาดว่าอุตสาหกรรมไหนจะกระทบมากๆ บ้างนั้น จากนโยบายของทรัมป์ที่หาเสียงไว้ว่าจะขึ้นภาษีกับสินค้าจีนร้อยละ 60 ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2568 หลังการเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการของทรัมป์ ในวันที่ 20 ม.ค. ปี 2567 สามารถประกาศขึ้นภาษีได้เลยโดยไม่ต้องผ่านสภาคองเกรส ซึ่งปัจจุบันจีนเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมแผงโซล่าเซลล์ ,ยานยนต์ไฟฟ้า (EV)  ,แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ซึ่งการขึ้นภาษีเหล่านี้จะกระทบโดยตรง ขณะที่สหรัฐ ก็มี อีลอน มัสก์ ผู้สนับสนุนของทรัมป์ด้วย เป็นผู้เบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทสลา ( Tesla)  ขณะที่ยุโรปก็ขึ้นภาษีรถ EV จีนด้วย  ซึ่งจีนก็ได้เตรียมรับมือไว้แล้ว โดยทางการจีนได้แทรกแซงค่าเงินหยวนให้อ่อนค่าลง เพราะจะลดผลกระทบจากการส่งออกสินค้า ที่อาจจะส่งออกได้น้อยลงจากมาตรการกีดกัน 


สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นจีนยังมองบวกและคาดว่ามีโอกาสในการลงทุนระยะยาวอีกมาก จาก 4 ปัจจัย คือ 1) เทคโนโลยีภายในประเทศ  การจัดระบียบของจีน มองว่าการถูกจัดระเบียบได้กระทบและผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ซึ่งรัฐบาลไสนับสนุนให้จีนก้าวข้ามไปเป็นผู้นำของโลกได้  ทั้งการสนับสนุนอุตสาหกรรมนวัตรกรรมใหม่ๆ หุ่นยนต์อุตสาหกรรม เทคโนโลยีกาแพทย์ และเซมิคอนดักเตอร์ 

2) การเปลี่ยนแผนพัฒนาประเทศ เน้นการบริโภคจากภายในปรเทศมากขึ้น ลดการพึ่งพาต่างชาติ และให้ความสำคัญกับ New Economy หรือ เศรษฐกิจยุคใหม่ ที่จะผลักดันเศรษฐกิจเติบโตได้ในระยะยาว โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานสะอาด 

3)การสนับสนุนตลาดทุนจากรัฐบาลมากขึ้น อาทิ ลดภาษีอากรแสตมป์ จำกัดการทำธุรกรรมซอร์ต สนับสนุนกองทุนความมังคั่งแหงชาติให้ข้าไปซื้อหุ้นได้ 

และ 4) การกระตุ้นเศรษฐกิจจากนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง ที่ออกมาต่อเนื่อง และนโยบายดอกเบี้ยยังเป็นขาลง และนโยบายการเงินของจีนก็ยังกระตุ้นได้อยู่ อาทิ รัฐมนตรีคลังของจีนยังยืนยันว่าก่อหนี้ได้ ดังนั้น ถ้าเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามเป้ารัฐบาลก็ยังสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมได้ 

ข่าวแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง