TNN ไขปัจจัยหนุนกองทุนรวม DIF เติบโตต่อหรือพอแค่นี้

TNN

รายการ TNN

ไขปัจจัยหนุนกองทุนรวม DIF เติบโตต่อหรือพอแค่นี้

หลักทรัพย์อินโนเวสท์ เอกซ์ ชี้กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล หรือ DIF ยังน่าสนใจ แม้จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีหลังครบกำหนดอายุ 10 ปี และสัญญาเช่าของกลุ่ม TRUE ยังคงเหลือกว่า 10 ปี ยังมีโอกาสต่ออายุสัญญาเช่า

DIF หรือ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัลกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ที่มีทรัพย์สินกองทุนเป็นเสาโทรคมนาคมประมาณ 16,000 เสา และระบบใยแก้วนำแสง (FOC)ระยะทางรวมประมาณ 3 ล้านคอร์กิโลเมตรที่กระจายอยู่ทั่วประเทศโดยมีกลุ่ม TRUEหนึ่งในผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ของประเทศเป็นผู้เช่าหลัก ทำให้กองทุนมีรายได้หลักเฉลี่ยกว่าร้อยละ 97 จากสัญญาให้เช่าทรัพย์สินโทรคมนาคมระยะยาว


ช่วงก่อนหน้านี้ DIF มีราคาหน่วยที่ปรับลดลงมาต่อเนื่อง ตั้งแต่เดือนมี.ค. 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งสร้างความกังวลต่อการลงทุนกับกองทุน DIFให้นักลงทุนไม่น้อย สำหรับการเปลี่ยนแปลงของราคา DIF คาดเป็นผลมาจากความกังวลที่โอกาสรับผลตอบแทนจะลดลง เนื่องจาก 


1) สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่นักลงทุนรายย่อย จะไม่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายเงินปันผลร้อยละ10 สิ้นสุดลงในปี 2565 หลังจัดตั้งกองทุนมาครบ 10 ปีแล้ว ทำให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีของกองทุน DIF ได้กลับมาเทียบเท่ากับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือ REITs ทำให้ผู้ลงทุนรู้สึกว่าได้ผลตอบแทนของกองทุนลดลงเมื่อถูกหักภาษีเงินปันผล


2) ในช่วงปี 2562 -2565 TRUE ขายหน่วยลงทุนของกองทุนออกรวมร้อยละ 8-10 จากเดิมที่ถือร้อยละ 28 ปัจจุบันถือร้อยละ 20 อาจส่งผลให้นักลงทุนกังวลในการถือหน่วย อย่างไรก็ดี กลุ่มTRUE มองว่าDIF เป็น Strategic Holdings จากการที่ทรัพย์สินของ DIFเป็นส่วนสำคัญต่อการให้บริการ Mobile และ Internet ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัท 


3) กลุ่ม Trueมีสัญญาเช่าระยะยาวกับ DIF โดยในสัญญาได้กำหนดจำนวนและราคาเช่าไว้อยู่แล้วทำให้ DIF มีโอกาสรับรายได้ที่ค่อนข้างมั่นคง โดยผลการดำเนินงานของกองทุน DIF ที่ผ่านมาในแง่สินทรัพย์รวมล่าสุด ตามงบ 6 เดือนปี 2567 มีมูลค่า 213,221 ล้านบาท โดยครึ่งแรกของปีมีรายได้ที่ 7,087 ล้านบาท กำไรที่ 5,812ล้านบาททำให้กองทุนมีอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทนที่ร้อยละ 11.5 ( * ข้อมูลงบการเงินรอบ 6 เดือน ปี 2567,ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย)


4) ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยและการชำระคืนเงินกู้ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาเงินกู้เพิ่มขึ้น โดยการปรับเพิ่มดอกเบี้ยนโยบายสำหรับช่วงที่ผ่านมา ในทุกๆ 0.25%ที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลให้กองทุนมีภาระค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นประมาณ 70 ล้านบาท/ปี แต่หาก กนง. มีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยกองทุนก็จะกลับมาได้รับประโยชน์


และ 5) รายได้ค่าเช่าจาก DTAC ลดลงไปร้อยละ 3เมื่อเทียบกับปี 2565 เนื่องจาก DTACลดการเช่าและไม่ต่อสัญญาเช่าหลังมีการควบรวมของ TRUE กับ DTACส่งผลให้เงินปันผลที่ผู้ถือหน่วยลงทุนได้รับลดลงประมาณ 0.03 บาท/หน่วย ซึ่งสัญญาเช่า DTAC ได้สิ้นสุดลงในไตรมาส 1 ปี 2567 แล้วการปรับโครงข่ายและการควบรวมของ TRUE และ DTAC ไม่ได้กระทบต่อจำนวนการเช่าและค่าเช่าที่กองทุนได้รับจาก TRUE เนื่องจากมีสัญญาเช่าระยะยาว ขณะที่ แนวทางดำเนินการของกองทุน DIF ในอนาคต ค่าเช่ายังมีการเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งนี้ ภายหลังการควบรวม ทำให้TRUE มีเครดิตเรทติ้งปรับดีขึ้นเป็น A+ (หมายเหตุ : Tris Rating ปรับ Credit Rating บมจ. ทรูคอร์เปอเรชั่น ณ วันที่ 28 มีนาคม 2567 )


แม้ว่าเสาโทรคมนาคมมีสัญญาเช่าสิ้นสุดปี 2576 แต่สำหรับสายใยแก้วนำแสงก็ยังมีโอกาสขยายระยะเวลาสัญญาเช่าได้อีก 10 ปี เมื่อเข้าเงื่อนไขที่กำหนดก็จะส่งผลให้กองทุนมีอายุสัญญาเช่าเฉลี่ยคงเหลือประมาณ 14 ปี นอกจากนี้ กองทุนไม่ต้องรับภาระต้นทุนแปรผันใดๆ (ไม่ว่าจะเป็น การย้ายสายลงใต้ดิน การซ่อมแซมปรับปรุง เป็นต้น) ยกเว้นภาระดอกเบี้ยเงินกู้ 


และปัจจุบันกองทุนมุ่งเน้นการหาประโยชน์ตอบแทนเพิ่มเติมจากทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐาน โดยการหาผู้เช่ารายอื่นๆ ซึ่งทรัพย์สินของกองทุนเป็นรูปแบบกรรมสิทธิ์ หรือสามารถมีกรรมสิทธิ์ได้ในอนาคต จึงสามารถจัดหาประโยชน์ได้อย่างต่อเนื่อง


ส่วนแนวโน้มตลาดที่เอื้อต่อกองทุน DIF ที่ทำให้เป็นกองทุนยังน่าสนใจนั้น มุมมองการลงทุนจากบริษัทหลักทรัพย์อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุในบทวิเคราะห์ล่าสุด เมื่อ 2 ก.ย.ที่ผ่านมาว่า ได้ปรับคําแนะนํา DIF ขึ้นจาก NEUTRAL สู่ OUTPERFORM โดยให้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 ที่ 10.5 บาท/หน่วย ภายใต้สมมุติฐานว่า TRUE จะต่ออายุสัญญาเช่าสาย FOC ไปจนถึงปี 2586 เนื่องจากเข้าเงื่อนไขในการที่ TRUE จะต้องต่ออายุสัญญาเช่าแล้ว จากส่วนแบ่งตลาดธุรกิจ FBB ของ TRUE มากกว่าร้อยละ 33 หรือ รายได้ของธุรกิจ FBB ของ TRUE สูงกว่า 1.65 หมื่นล้านบาท 


ปัจจัยสำคัญที่ หลักทรัพย์อินโนเวสท์ เอกซ์ มีมุมมองเชิงบวกต่อ DIF เนื่องจาก 

1) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรกําลังจะเปลี่ยนทิศทางเป็นขาลงซึ่งจะเป็นผลดีต่อ DIF 

2) อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ประเมินได้อยู่ในระดับที่ดีที่ร้อยละ 11.5 ในปี 2567 

3) ราคาหน่วยลงทุน DIF ปรับขึ้นช้ากว่ากลุ่มรีท (REIT) ในขณะที่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ ร้อยละ 8.6 จึงมองว่า DIF เป็น laggard play ที่น่าสนใจในกลุ่มรีท 


นอกจากนี้ ยังมองว่าความเสี่ยงที่ TRUE ลงทุนในกองทุน DIF ในสัดส่วนร้อยละ 20.56 เป็นผู้ถือหน่วยรายใหญ่ลำดับที่ 1 จะขายหน่วยลงทุน DIF ออกมาอีกนั้น (หมายเหตุ : ขึ้นบาร์ *ข้อมูลณวันที่ 24 ก.ย. 2567, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย) อยู่ในระดับตํ่า 


เนื่องจากสถานะทางการเงินของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน หลังจากควบรวมกิจการ ซึ่งปัจจัยกระตุ้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรกําลังจะเปลี่ยนทิศทางเป็นขาลง DIF จัดอยู่ในกลุ่มหุ้นปันผลที่มีความอ่อนไหวต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตร ซึ่งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ลดลงจะทําให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของ DIF ดูน่าสนใจมากขึ้น หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มลดดอกเบี้ยแล้วเมื่อกลางเดือนก.ย. ส่งผลให้แบงก์ชาติมีโอกาสจะพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในอนาคตนี้ด้วย 


โดย DIF มีการจ่ายผลเงินปันผลสม่ำเสมอ ในครึ่งแรกปีนี้จ่ายที่ 0.4444 บาท/หน่วย คาดว่าในครึ่งหลังปีนี้ มีโอกาสที่กองทุนจะจ่ายปันผลได้ใกล้เคียงกับครึ่งปีแรกซึ่งท้ายที่สุดแล้วแนวโน้มธุรกิจของ DIF ขึ้นอยู่กับ TRUE เนื่องจากค่าเช่าหลักมาจาก TRUE การควบรวมกิจการระหว่าง TRUE กับ DTAC ทําให้ DIF มีทั้ง upside และ downside โดยในด้านบวก มีโอกาสที่จะมีการอัดฉีดทรัพย์สิน (จาก DTAC) เข้ากองทุนเพิ่มเติม ในขณะที่ด้านลบ TRUE อาจไม่ต่ออายุสัญญาเช่าเสา (ร้อยละ 30 ของรายได้ของ DIF) ซึ่งจะหมดอายุในปี 2576 


สำหรับกองทุน DIF ปัจจุบัน ภาพรวมกองทุนยังถือว่าน่าสนใจ จากเศรษฐกิจไทยที่กำลังรอการฟื้นตัว กับภาพโครงสร้างความมั่นคงด้านรายได้ของกองทุนทำให้นักลงทุนจะยังมีโอกาสที่ได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลได้อีกในระยะยาว รวมถึงหาก SET กลับมาฟื้นได้อย่างเต็มที่ ราคา DIF ก็มีโอกาสปรับขึ้นตาม SET Index ได้อีกด้วย 


อย่างไรก็ดี นักลงทุนที่ถือ DIF ในพอร์ตอยู่แล้ว ก็อาจคลายกังวลได้ และสำหรับใครที่ต้องการเข้าลงทุนเพิ่ม ก็ไม่อยากให้ดูแค่ผลงานในอดีต แต่ควรพิจารณาปัจจัยรอบด้านถึงโอกาสการได้รับผลตอบแทนหลังจากนี้ด้วย รวมถึงทำความเข้าใจลักษณะกองทุนให้ดีก่อนลงทุนหรือถ้าต้องการสอบถามเพิ่ม ก็ติดต่อไปที่ บลจ. ไทยพาณิชย์ ได้ 


*คำเตือน : ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคตผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน


ข่าวแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง