TNN หุ้นกลุ่มเติบโต -เฮลท์แคร์ - รีท ธีมตั้งรับผันผวนเลือกตั้งสหรัฐ

TNN

รายการ TNN

หุ้นกลุ่มเติบโต -เฮลท์แคร์ - รีท ธีมตั้งรับผันผวนเลือกตั้งสหรัฐ

MFC แนะหุ้นกลุ่มเติบโต เฮลท์แคร์ และรีท เป็นทางเลือกการลงทุนในช่วงทีตลาดหุ้นโลกผันผวนจากความไมแน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจและการค้าของสหรัฐหลังการเลือกตั้งที่ใกล้เข้ามาในวันที่ 5 พ.ย.นี้

นางสาววจี  คล้ายยวง ผู้อำนวยการ ทีมกลยุทธ์การลงทุน  บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน)  หรือ MFC เปิดเผยว่า ยังมองตลาดหุ้นสหรัฐน่าสนใจลงทุน แม้ว่าจะมีความไม่แน่นอนจากการเลือกตั้งสหรัฐที่ใกล้เข้ามาในวันที 5 พ.ย.67 นี้ โดยมองมีแนวโน้มเศรษฐกิจไทยยังน่าจะค่อยๆ ชะลอลง (Soft Landing ) ยังไม่นาจะเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากหากดูจากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้น S&P 500 ไตรมาส 3 ปีนี้ที่ ออกมาแล้ว 70 บริษัทจากทั้งหมด 500 บริษัท ล่าสุดร้อยละ 83 มีผลประกอบการออกมาดีกวาที่ตลาดคาดการณ์ 


ส่วนการเลือกตั้งที่ผลโพลออกมาล่าสุดใน Swing State หรือ รัฐที่ประชากรมีความคิดทางการเมืองแตกต่างกันในจำนวนที่ใกล้เคียงกันนั้น นายโดนัลด์ ทรัมป์ ยังมีคะแนนนิยมขึ้นนำ นางคามาลา แฮร์ริส ซึ่งโอยปกติก่อนการเลือกตั้ง 1 เดือน หรือในเดือนต.ค.นี้ตลาดจะผันผวนรับความไมแน่นอนของการเลือกตั้ง แต่จากสถิติในอดีตหลังเลือกตั้งผลตอบแทนหุ้นจะปรับดีขึ้น บวกเฉลี่ยที่ร้อยะละ 0.9 ในเดือนพ.ย.และเดือนถัดไปจะบวกประมาณร้อยละ 1.3 สะท้อนว่าหลังเลือกตั้งหุ้นมีโอกาสบวกขึ้นมาก 


ยกเว้นบางกลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องรอผลการเลือกตั้งวาใครชนะก่อน อย่าง พลังงาน ทรัมป์เคยประกาศถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีส ส่วนฝั่งแฮร์ริส น่าจะหนุนพลังงานสะอาด ดังนั้น ในช่วงที่มีความไม่แน่นอนในระยะนี้จึงแนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่มเติบโต (Quality Growth) หุ้นในกลุ่มด้านการดูแลสุขภาพ (Health Care)  


ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ (บอนด์ ยิลด์) ที่ปรับขึ้นมาสูง แตะระดับร้อยละ 4.255 สูงสุดในรอบ 3 เดือน ในช่วงนี้ มองว่าโอกาสปรับขึ้นไปสูงกว่านี้มีน้อยลง ยกเว้นว่า ทรัมป์ ชนะเลือกตั้งอาจเห็นบอนด์ ยิลด์ปรับขึ้นอีก เนื่องจากทรัมป์มีนโยบายการคลังแบบผ่อนคลาย มีการใช้จ่ายทางการคลังมาก ทำให้มีแนวโน้มจะออกพันธบัตรมากขึ้น ดังนั้น บอนด์ ยิลด์ จึงมีโอกาสสูงขึ้น แต่ถ้า แฮร์ริส ชนะ นโยบายการใช้จ่ายอาจจะน้อยกว่า  ฉะนั้น นักลงทุนที่รับความผันผวนได้ต่ำอาจจะรอผลการเลือกตั้งก่อนจะเข้าซื้อพันธบัตรสหรัฐ แต่อีกสินทรัพย์ที่นาสนใจ คือ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือ รีท (REIT) จากแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ยังจะลดดอกเบี้ยไม่ว่าดอกเบี้ยจะลดดอกเบี้ยลงมากหรือน้อยก็ตาม โดยค่าเฉลี่ยการจ่ายปันผลของโกบอลรีทยังอยู่ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีตช่วง 10 ปี ส่วนรีทสิงคโปร์และไทยมีการจ่ายปันผลอยู่ทีประมาณ ร้อยละ 5-7  


ส่วนการลงทุนในจีน ตลาดน่าจะรับรู้ผลของมาตรการกระตุ้นรอบใหญ่ของจีนไปแล้ว ซึ่งมองว่าตลาดรอดูผลของมาตรการ จึงนาจะลดลงไปได้อีกไม่มาก แต่หากมาตการได้ผลดีน่าจะหนุนให้ตลาดหุ้นจีนปรับขึ้นได้อีกมาก แต่ถ้าทรัมป์ ชนะเลือกตั้งอาจเห็นหุ้นจีนร่วงลงแรงได้เชนกัน ดังนั้น ถ้าตลาดหุ้นจีนขึ้นมา (รีบาวด์) นักลงทุนที่ถือลงทุนในสัดส่วนที่สูงเกินร้อยละ 10 และมีกำไรน่าจะแบ่งขายทำกำไรออกมาบ้าง เพื่อป้องกันความผันผวนของการเลือกตั้งสหรัฐ   

 

ขณะที่ความเคลื่อนในการประชุมของกลุ่ม  BRICS หรือ กลุ่มประเทศที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วอันประกอบด้วย บราซิล (Brazil) รัสเซีย (Russia) อินเดีย (India) จีน (China) และแอฟริกาใต้ (South Africa) ในช่วงนี้ที่มีประเทศพันธมิตรเป็นทางการเพิ่มมากขึ้นทำให้เป็นกระแสความสนใจตลาดนั้น มองว่าการประชุมครั้งนี้ ในช่วงวันที่ 22-24 ต.ค.ที่รัสเซียของ BRICS ที่มีการประกาศประเทศที่ได้สถานะพันธมิตรเพิ่มขึ้นรวมเป็น 13 ประเทศ ซึ่งเพิ่ม ไทย ,มาเลเซีย และเวียดนามเข้ามานั้น มองว่าการครั้งนี้เน้นสร้างความเข้าใจระหว่างจีนและอินเดียที่มีปัญหาข้อพิพาทเรื่องเขตแดนมากกว่า ประเด็นของกลุ่ม  BRICS ยังไม่น่าจะเป็นจุดเปลี่ยนของการปรับลงทุนในระยะสั้น เพราะผลความร่วมมือรอบนี้นาจะเป็นเรื่องระยะยาว 5-10 ปีข้างหน้า 


สำหรับการจัดพอร์ตเพื่อตั้งรับสถานการณ์ในช่วงนี้  MFC ยังแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนตลาดหุ้นประมาณร้อยละ 60 ของพอร์ต ส่วนอีกร้อยละ 20 ลงในตราสารหนี้ และอีกร้อยละ 20 แนะนำให้ถือเงินสดเพื่อโอกาสการลงทุนรับความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้า


ข่าวแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง