บีโอไอเผยย้ายฐานพุ่ง ดันยอดลงทุน 7.2 แสนล้านสูงรอบ 10 ปี

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ เปิดเผยว่า ในช่วงเดือนมกราคม - กันยายนปีนี้ ตัวเลขคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ทั้งจำนวนโครงการและเงินลงทุน โดยมี 2,195 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 46 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 722,528 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 42 ซึ่งเป็นยอดลงทุนที่สูงสุดในรอบ 10 ปี 

สะท้อนถึงศักยภาพและพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดีของประเทศไทย รวมทั้งความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อนโยบายรัฐบาลและมาตรการสนับสนุนของรัฐ ตลอดจนการดึงดูดการลงทุนเชิงรุกของรัฐบาลและบีโอไอ ได้ทำให้เกิดการลงทุนโครงการใหญ่ในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ จำนวนมาก เช่น เซมิคอนดักเตอร์และแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ ยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน และพลังงานหมุนเวียน 

นอกจากนี้ รัฐบาลยังเร่งพัฒนาระบบนิเวศและปัจจัยที่จะส่งผลต่อการลงทุนในห้วงเวลาสำคัญที่มีกระแสเคลื่อนย้ายฐานการผลิตโลก เช่น การพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะรองรับเทคโนโลยีใหม่ กลไกจัดหาพลังงานสะอาดในราคาที่เหมาะสม พื้นที่รองรับอุตสาหกรรมใหม่ ๆ  ปรับปรุงกฎระเบียบให้เอื้อต่อการลงทุน เป็นต้น 

ทั้งนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า 2) ดิจิทัล  3) ยานยนต์และชิ้นส่วน 4) เกษตรและแปรรูปอาหาร และ 5) ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์  โดยกิจการที่มีการลงทุนสูงและอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เช่น  Data Center  8 โครงการ เงินลงทุนรวม 92,764 ล้านบาท จากบริษัทรายใหญ่ทั้งอเมริกัน ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง และอินเดีย // กิจการผลิตอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง อาทิ การประกอบและทดสอบเซมิคอนดักเตอร์และวงจรรวม //เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ เป็นต้น 

ด้านการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ก็ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมจำนวน 1,449 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 66 เงินลงทุนรวม 546,617 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 38 หลักๆ เป็นเม็ดเงินลงงทุนจาก สิงคโปร์ // จีน  // ฮ่องกง  // ไต้หวัน // และญี่ปุ่น ซึ่งส่วนใหญ่เข้ามาลงทุนในพื้นที่ภาคตะวันออก เป็นส่วนใหญ่ 

นายนฤตม์ กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนในช่วงปลายปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้า ยังคงมีแนวโน้มเติบโต โดยโครงการที่ได้รับอนุมัติจากบีโอไอในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้จะมีการจ้างงานบุคลากรไทยเพิ่มกว่า 1.7 แสนคน จะใช้วัตถุดิบและชิ้นส่วนในประเทศประมาณ 8 แสนล้านบาทต่อปี  จะเพิ่มมูลค่าส่งออกของประเทศอีกกว่า 2 ล้านล้านบาทต่อปี