TNN การบินไทยฟื้นกิจการ หนุนคุณภาพสินทรัพย์ BBL- KTB

TNN

รายการ TNN

การบินไทยฟื้นกิจการ หนุนคุณภาพสินทรัพย์ BBL- KTB

การบินไทยฟื้นกิจการ หนุนคุณภาพสินทรัพย์ BBL- KTB

หลักทรัพย์ CGSI มองว่าการเตรียมกลับมาของบริษัทการบินไทย ที่จะออกจากการฟื้นฟูกิจการปีหน้าน่าจะส่งผลบวกต่อคุณภาพสินทรัพย์ของกลุ่มแบงก์ใหญ่อย่าง BBL- KTB

ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า บริษัทการบินไทย จำกัด(มหาชน) หรือ THAI มีแผนปรับโครงสร้างทุนในไตรมาส 4/67 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนฟื้นฟูกิจการตามคำสั่งของศาลล้มละลายกลาง แผนปรับโครงสร้างเงินทุน ประกอบด้วย 


1.) การจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนไม่เกิน 9,800 ล้านหุ้น ราคา 2.5452 บาท/หุ้น เพื่อรองรับการแปลงหนี้เป็นทุนของเจ้าหนี้ 

2.) การจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่บุคคลวงจำกัด (private placement หรือ PP ) เพื่อรองรับการใช้สิทธิซื้อหุ้นของผู้ถือหุ้นเดิม, พนักงานและนักลงทุน

 

จากนั้น THAI จะลดพาร์เพื่อล้างขาดทุนสะสม ซึ่งผู้บริหารของ THAI คาดว่าส่วนของผู้ถือหุ้นจะกลับมาเป็นบวกเดือนก.พ. 2568  หลังจากนั้น THAI จะนำส่งงบการเงินให้ตลาดหลักทรัพย์ฯและก.ล.ต. เพื่อเตรียมออกจากแผนฟื้นฟูกิจการในเดือนเม.ย.ปีหน้า และ THAI คาดว่าศาลล้มละลายกลางจะเห็นชอบให้ออกจากแผนฟื้นฟูกิจการเดือนพ.ค. ปีหน้า ดังนั้น ผู้บริหารจึงคาดว่าหุ้น THAI น่าจะกลับมาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ก่อนสิ้นเดือนมิ.ย.ปีหน้า 

 

สำหรับธนาคาร 7 แห่งที่ทำการศึกษา CGSI พบว่า BBL และ KTB เป็นธนาคารที่มีการปล่อยเงินกู้ให้กับ THAI มูลค่า 1.19 หมื่นล้านบาท และ 5.8 พันล้านบาท ตามลำดับ ส่วนเจ้าหนี้รายอื่นไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่ศึกษา หรือไม่ได้จดทะเบียนใน SET ทั้งนี้ ตามข้อมูล ณ สิ้นไตรมาส 2/67 BBL ถือหุ้น THAI ร้อยละ 0.4 แต่สัดส่วนจะเพิ่มเป็นร้อยละ 5.8 หลังแปลงหนี้เป็นทุน

 

ขณะที่เชื่อว่าทั้ง BBL และ KTB น่าจะจัดชั้นหนี้ของ THAI เป็น NPL ตั้งแต่บริษัทยื่นขอฟื้นฟูกิจการในปี 2563 ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากกรอบเวลาที่ THAI จะออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ ธนาคารทั้งสองแห่งจึงน่าจะจัดชั้นหนี้ของ THAI เป็นสินเชื่อปกติ หรือ stage 1 ได้ภายในไตรมาส 4/68 ซึ่งหนึ่งในเงื่อนไขเพื่อออกจากแผนฟื้นฟู กิจการคือ THAI จะต้องชำระคืนหนี้อย่างสม่ำเสมอติดต่อกันเป็นเวลาเกิน 5 ปี

 

กรณีที่หนี้ของ THAI ถูกจัดชั้นเป็นสินเชื่อปกติ คาดว่า BBL จะมีอัตราส่วน NPL ลดลงจากร้อยละ 3.64 ณ สิ้นไตรมาส 2/67 เป็นร้อยละ 3.18 และอัตราการตั้งสำรองต่อหนี้ NPL จะเพิ่มจาก 2.83 เท่า( 283%)  เป็น 3.21 เท่า (321%) ขณะเดียวกันคาดว่า KTB จะมีอัตราส่วน NPL ลดลงจาก ร้อยละ 3.85 เป็นร้อยละ 3.59 และอัตราการตั้งสำรองต่อหนี้ NPL จะเพิ่มขึ้นจาก 1.81 เท่า (181%) เป็น 1.92 เท่า ( 192%) ทั้งนี้คาดว่าธนาคารจะไม่กลับรายการเงินสำรองหรือผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) แต่จะนำไปรวมกับเงินสำรองส่วนเพิ่ม (management overlay) หรือเงินสำรองทั่วไป

 

โดย CGSI แนะนำให้คงน้ำหนักการลงทุน (Neutral) ในกลุ่มธนาคารไทย เพราะมองว่ากลุ่มนี้ยังขาดปัจจัยหนุนที่แข็งแกร่งและประมาณการว่าธนาคารที่ศึกษาจะมี ROE เพียงร้อยละ 8.7-8.8 ในปี 67-69 (เทียบกับ ROE  ร้อยละ 11.2- 12.9 ของธนาคารในอาเซียนที่ทำการศึกษา) ขณะที่ มองว่าธนาคารที่เน้นสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าธนาคารที่เน้นสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค

 

อย่างไรก็ตาม กลุ่มธนาคารจะมี upside risk หากการบริโภคภาคเอกชนเพิ่มขึ้น, ยอดส่งออกเติบโตสูงขึ้นและรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วน downside risk จะมาจากคุณภาพสินทรัพย์ที่ลดลงและการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจล่าช้า

ข่าวแนะนำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง