หนีตลาดยักษ์ใหญ่สหรัฐ-จีน ไปพักใจตลาดหุ้นเวียดนาม
บลจ.จิตตะ เวลธ์แนะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามเพื่อการลงทุนระยะยาว ในสัดส่วนร้อยละ 5-10 ด้วยปัจจัยสนับสนุน 3 ด้าน
นายประภัศร์พงษ์ นันทกิจพัฒนา ผู้จัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจิตตะ เวลธ์ จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงเวลานี้มองตลาดหุ้นเวียดนามนาสนใจกว่าตลาดหุ้นสหรัฐและตลาดหุ้นจีน เนื่องจาก 3 ปัจจัย ประกอบด้วย
1) ผลตอบแทนของตลาด (Performance Marketing) โดยหากเปรียบเทียบผลตอบแทนของในช่วง 9 เดือนแรกปี 2567 พบว่าตลาดหุ้นสหรัฐให้ผลตอบแทนอยูที่ประมาณร้อยละ 21 ,ตลาดหุ้นจีนอยู่ทีประมาณร้อยละ H-Shares หรือ ดัชนีหุ้นจีนฮ่องกง ซึ่งรวมเอาบริษัทที่มีฐานธุรกิจในจีนแผ่นดินใหญ่ แต่ไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง ผลตอบแทนอยู่ที่ร้อยละ 24 และตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ที่ประมาณร้อยละ 14 เท่านั้น ดังนั้น จึงมองว่าตลาดหุ้นใหญ่ทั้งสหรัฐและจีนที่เติบโตโดดเด่นขึ้นมาขนาดนี้ใน 9 เดือนที่ผ่านมาทำให้อัพไซต์ดูเหมือนจะมีน้อยกว่าเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นเวียดนาม
2) ความเสี่ยงจากความผันผวนที่จะเกิดขึ้นในระยะสั้นนี้ โดยเฉพาะปัจจัยการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐที่ยังไม่รู้ว่าสุดท้ายใครจะคว้าชัยชนะได้ เนื่องจากโผลสูสีกันมาก รวมถึงผลกระทบทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนก็ยังไม่รู้ว่าจะกระทบต่อตลาดหุ้นของทั้งสองตลาดมากน้อยแค่ไหน ซึ่งมองว่าไม่ว่าผลกระทบจากสงครามการค้าจะมากแค่ไหนเวียดนามก็จะได้ประโยชน์
และ 3) ปัจจัยด้านเศรษฐกิจหรือ GDP ของเวียดนามในไตรมาส 3 ปีนี้ที่ผ่านมาโตถึงร้อยละ 7.4 สูงสุใสในรอบ 2 ปีของเวียดนามและโตสูงสุดในภูมิภาคเอเซียนด้วย ส่งผลให้ GDP เวียดนามในช่วง 9 เดือนแรกปี 2567 โตร้อยละ 6.8 สูงกว่าที่รัฐบาลเวียดนามตั้งไว้ที่่ร้อยละ 6.5 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคการผลิตที่เติบโตสูงร้อยละ 9.1 และอีกส่วนมาจากการเติบโตของภาคบริการ ที่โตร้อยละ 7.5 ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนสำคัญของ เศรษฐกิจเวียดนาม เพราะมีสัดส่วนใน GDP ถึงร้อยละ 40
ส่วนการยกระดับจากตลาดหุ้นชายขอบมาเป็นตลาดเกิดใหม่ของเวียดนามที่จะดึงเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) นั้น เป็นเรื่องที่นักลงทุนติดตามมานานที่จะเป็นการดึง FDI จากทั่วโลก ที่ติดการเปิดเผยข้อมูล การการจัดทำข้อมูลเป้นภาษาอังกฤษ เป็นต้นนั้น ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของเวียดนามได้มีเร่งแก้ไขแล้ว ซึ่งตลาด FTSE Russia อาจยกระดับสถานะเป็นตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ในเดือนก.ย.ปี 2568 และตามมาด้วย MSCI ที่นาจะยกระดับตามมาในปี 2026 ต่อไป ซึ่งประเมินวาการถูกยกระดับดังกลาวาจะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ (Fund Flow ) เข้ามาได้หลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนในอีกด้านปัจจัยที่เป็นความเสี่ยงที่ควรต้องจับตาดูมีด้วยกัน 3 ประเด็น คือ ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ จากพายุไต้ฝุ่นในชวงต้นเดือนก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งมีการเสียชีวิตและปิดโรงงานหลายสัปดาห์ในโซนภาคเหนือของเวียดนาม , การชะลอตัวของการลงทุนภาครัฐ ซึ่่งขยายตัวเพียงร้อยละ 0.3 ในไตรมาส 3 ปีนี้เทียบปีก่อนชะลอจาก 3.2 ในไตรมาส 2 จากปัญหาการคอรัปชั่นที่ทำให้การอนุมัติโครงการล่าช้า และปัญหาหนี้สินของภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่คลี่คลาย ที่สร้างความกังวลต่อหนี้เสียและการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร
สำหรับสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามแนะนำให้อยู่ในสัดสวนร้อยละ 5-10 มองเป็นการลงทุระยะยาว โดยกลยุทธ์การลงทุนในจังหวะนี้แนะนำให้ทยอยซื้อได้เลยตามสัดส่วนเป้าหมายตามความเสี่ยงจนกว่าจะครบตามเป้าหมาย
ข่าวแนะนำ