หุ้นตลาดเกิดใหม่-ไทยเด่น ลุ้นเงินทุนต่างชาติ 7 หมื่นล้านไหลกลับ
เอ็มเอฟซีแนะให้น้ำหนักลงทุนในสหรัฐเน้นหุ้นคุณภาพขนาดใหญ่ และลงทุนในตลาดเกิดใหม่ รวมทั้งตลาดหุ้นไทย หลังดอกเบี้ยเฟดปรับลดลุ้นเงินลงทุนไหลกลับ กองทุนวายุภักษ์หนุน
นางสาววจี คล้ายยวง ผู้อำนวยการ ทีมกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถานการณ์ปัจจุบันยังให้น้ำหนักกับการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ เพราะไม่คิดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอย (Recession) หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดดอกเบี้ยลงแรงร้อยละ 0.5 และยังมีแนวโน้มปรับลดลงต่อเนื่องในระยะข้างหน้า 0-3 เดือน เพียงแต่การลงทุนในตลาดสหรัฐควรให้น้ำหนักไปที่หุ้นคุณภาพขนาดใหญ่ ที่ทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจมากขึ้น
รวมถึงให้น้ำนักกับการลงทุนในตลาดหุ้นของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ ( Emerging Market) ในเอเชียยกเว้นจีนมากขึ้น เพราะเชื่อว่าหลังเฟดลดดอกเบี้ยและสภาพคล่องโลกสูงขึ้นเงินลงทุนน่าจะกระจายมาที่ Emerging Market ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงต่อเนื่อง โดยเฉพาะอินเดีย เวียดนาม ที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ยังเติบโตดี น่าจะหนุนกำไรบริษัทจดทะเบียนขยายตัวและกำไรต่อหุ้น (EPS) โตดี เชือว่าตลาดหุ้นอินเดียแม้จะโตสูงแล้ว แต่เชื่อว่าจะโตได้อีกปีหน้าไม่น้อยกว่าร้อยละ 14 อย่างไรก็ดี ในส่วนของตลาดเวียดนามอาจมีความผันผวน ต้องทยอยสะสม โดยเน้นไปที่หุ้นในกลุ่มที่เติบโตอิงกับธุรกิจที่เติบโตจากภายในประเทศ การบริโภค เป็นสำคัญ ตามจำนวนประชากรที่อยู่ในวัยทำงานจำนวนมาก
ขณะที่การลงทุนในตลาดจีน แม้รัฐบาลจีนจะประกาศกระตุ้นรอบใหญ่ โดยเมื่อวานนี้ (25 ก.ย.) ธนาคารกลางจีนเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะกลาง (MLF) ระยะ 1 ปี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของจีน ลงร้อยละ 0.30 สู่ระดับร้อยละ 2.0 ,ปรับลดอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร (reverse repurchase rate) ระยะ 7 วันลงร้อยละ 0.2 เหลือร้อยละ 1.5 ,รวมถึงการลดเงินดาวน์สำหรับการซื้อบ้านหลังที่สอง รวมถึงการจัดสรรเงินกู้ระยะยาวมูลค่า 1 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 1.4178 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) พร้อมกับประกาศจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ลงอีก และมีแนวโน้มจะเดินหน้ากระตุ้นออกมาเพิ่มเติม ซึ่งหนุนตลาดหุ้น A-Share แต่เอ็มเอฟซียังไม่วางใจในการเข้าลงทุนจีนในระยะยาว เนื่องจากต้องการรอดูผลของมาตรการก่อนว่าหลังการปฏิบัติมาตรการเหล่านี้แล้วเศรษฐกิจจีนจะฟื้นได้จริงหรือไม่
ส่วนในตลาดหุ้นไทย เอ็มเอฟซีก็แนำนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนด้วยเช่นกัน เนื่องจากเศรษฐกิจมีสัญญาณฟื้นตัวได้ จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การแจกเงินสด 10,000 บาทให้แก่กลุ่มเปราะบาง , กองทุนวายุภักษ์ที่รอเข้าลงทุนในหุ้นขาดใหญ่ SET 100 ที่มีเรทติ้ง ESG ในระดับสูง บวกกับมีโอกาสที่เงินลงทุนต่างชาติ หรือ ฟันด์โฟลว์ที่เคยไหลออกไปเมื่อต้นปีที่มีมูลค่าประมาณ 1 แสนล้านบาท ซึ่งปัจจุบันไหลกลับมาเพียงประมาณ 3 หมื่นกว่าล้านบาท ยังเหลืออีกว่า 7 หมื่นล้านบาทที่อาจจะไหลกลับเข้ามาเพิ่มเติมอีก ซึ่งจังหวะนี้ถือมีโอกาสดีที่ตลาดย่อลงมาบ้าง หลังรับรับข่าวดีไปแล้ว จึงมองเป็นโอกาสเข้าสะสมการลงทุนได้
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในจังหวะนี้ บลจ.เอ็มเอฟซี ให้น้ำหนักiร้อยละ 50 ไปที่การลงทุนในตลาดหุ้น เน้นในตลาดหุ้นสหรัฐ ตลาด Emerging Market เน้นอินเดีย เวียดนาม และตลาดหุ้นไทย รวมทั้งแบ่งการลงทุนไปลงทุนในโกบอล รีท เพื่อตั้งรับดอกเบี้ยขาลง บวกกับราคาโกบอลรีมก็ปรับลงมามากด้วย รวมทั้งแบ่งลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำร้อยละ 5-10 ที่มีโอกาสปรับขึ้นต่อด้วย แนะนำกองทุน อาทิ กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี ยูเอส คอร์ อิควิตี้ Hedged (M-USEQH) , กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเดีย ซีเล็ค อิควิตี้ ( MINDIA) ,“กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี โกลบอล พร็อพเพอร์ตี้ อิควิตี้ ฟันด์ (MGPROP) และ กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี หุ้นไทย เมกะ( M-MEGA-A) เป็นต้น
ข่าวแนะนำ