จับตา “แผ่นดินไหว” ทำไมสะเทือนถึงกรุงเทพฯ? แม้ไม่อยู่บนรอยเลื่อนมีพลัง

แผ่นดินไหว” เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของเปลือกโลกและพลังงานที่ถูกปลดปล่อยออกมาผ่านรอยเลื่อน แม้ว่ากรุงเทพมหานครจะไม่ได้ตั้งอยู่บนรอยเลื่อนมีพลังโดยตรง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีโอกาสได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวเลย เนื่องจากแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นจากรอยเลื่อนในพื้นที่ใกล้เคียงสามารถส่งแรงสั่นสะเทือนมาถึงกรุงเทพฯ ได้

 

ประเทศไทยมีรอยเลื่อนมีพลังหลายแห่งที่สามารถก่อให้เกิดแผ่นดินไหวได้ โดยรอยเลื่อนที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ และอาจส่งผลกระทบมีดังนี้

  1. รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ – ตั้งอยู่ในจังหวัดกาญจนบุรี มีประวัติของการเกิดแผ่นดินไหวขนาดปานกลางถึงรุนแรง หากเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในบริเวณนี้ อาจทำให้กรุงเทพฯ รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนได้
  2. รอยเลื่อนระนอง-คลองมะรุ่ย – เป็นรอยเลื่อนที่พาดผ่านภาคใต้ของไทย แม้ว่าจะอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ แต่ก็มีศักยภาพในการก่อให้เกิดแผ่นดินไหวที่อาจส่งผลถึงอาคารสูงในเมืองหลวง
  3. รอยเลื่อนแม่ฮ่องสอน – ตั้งอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทย และเคยก่อให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่ส่งแรงสั่นสะเทือนมาถึงกรุงเทพฯ
  4. แผ่นดินไหวจากพม่าและลาว – นอกเหนือจากรอยเลื่อนในประเทศ รอยเลื่อนในประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่าและลาวก็สามารถส่งผลกระทบต่อกรุงเทพฯ ได้ โดยเฉพาะแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นตามแนวรอยเลื่อนในรัฐชานของเมียนมา ซึ่งมีศักยภาพในการก่อให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่


แม้ว่ากรุงเทพมหานครจะไม่ใช่พื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหวโดยตรง แต่โครงสร้างทางธรณีวิทยาของเมืองอาจทำให้ได้รับผลกระทบจากแรงสั่นสะเทือนได้อย่างมาก หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้กรุงเทพฯ อ่อนไหวต่อแผ่นดินไหวคือชั้นดินของเมือง กรุงเทพฯ ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่มีชั้นดินอ่อนและลึก ซึ่งสามารถขยายแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวได้มากกว่าพื้นที่ที่มีหินแข็งรองรับ หากเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในบริเวณใกล้เคียง คลื่นไหวสะเทือนอาจถูกขยายความรุนแรงขึ้นเมื่อมาถึงกรุงเทพฯ ทำให้ตึกสูงและโครงสร้างพื้นฐานสั่นไหวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้

จับตา “แผ่นดินไหว” ทำไมสะเทือนถึงกรุงเทพฯ? แม้ไม่อยู่บนรอยเลื่อนมีพลัง

สรุปข่าว

แม้ว่ากรุงเทพฯ จะไม่ได้อยู่บนรอยเลื่อนมีพลังโดยตรง แต่ก็สามารถได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในพื้นที่ใกล้เคียง โดยเฉพาะจากรอยเลื่อนในไทยและประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากกรุงเทพฯ มีชั้นดินอ่อน ทำให้แรงสั่นสะเทือนถูกขยายขึ้น ส่งผลต่ออาคารสูงและโครงสร้างพื้นฐาน แม้อาคารที่สร้างหลังปี 2550 จะถูกออกแบบให้รองรับแผ่นดินไหว แต่อาคารเก่าจำนวนมากยังมีความเสี่ยง จึงควรมีการสำรวจและเสริมความแข็งแรง รวมถึงให้ความรู้ประชาชนเพื่อเตรียมพร้อมรับมือ

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีแผ่นดินไหวหลายครั้งที่ส่งผลกระทบต่อกรุงเทพฯ โดยเฉพาะอาคารสูงและโครงสร้างพื้นฐาน ตัวอย่างเหตุการณ์สำคัญ ได้แก่

  1. แผ่นดินไหวแม่ฮ่องสอน ปี 2011 – มีขนาด 6.7 และทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนที่สามารถรู้สึกได้ในกรุงเทพฯ แม้ว่าจะอยู่ห่างออกไปหลายร้อยกิโลเมตร
  2. แผ่นดินไหวเมียนมา ปี 2019 – ขนาด 6.1 มีรายงานว่าหลายอาคารสูงในกรุงเทพฯ สั่นไหว ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนอย่างชัดเจน
  3. แผ่นดินไหวลาว ปี 2019 – ขนาด 6.4 ส่งผลให้ตึกสูงหลายแห่งในกรุงเทพฯ สั่นสะเทือน และประชาชนบางส่วนต้องอพยพออกจากอาคาร
  4. และล่าสุด แผ่นดินไหวเมียนมา ปี 2025 - ขนาด 8.2 ส่งผลทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนในกรุงเทพฯ และหลายจังหวัดทั่วไทย

สาเหตุเป็นเพราะกรุงเทพฯ มีอาคารสูงจำนวนมาก การออกแบบโครงสร้างให้สามารถต้านทานแรงสั่นสะเทือนเป็นสิ่งจำเป็น ปัจจุบัน อาคารสูงในกรุงเทพฯ ถูกออกแบบให้รองรับแผ่นดินไหวในระดับปานกลาง อย่างไรก็ตาม อาคารเก่าหลายแห่งอาจไม่ได้ถูกออกแบบให้รองรับแผ่นดินไหว ทำให้เสี่ยงต่อความเสียหายหากเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงในบริเวณใกล้เคียง


มาตรการป้องกันที่ควรพิจารณา ได้แก่

  1. การปรับปรุงโครงสร้างของอาคารเก่า – อาคารเก่าควรได้รับการตรวจสอบและเสริมความแข็งแรงเพื่อให้สามารถทนต่อแรงสั่นสะเทือนได้ดีขึ้น
  2. การออกแบบอาคารตามมาตรฐานสากล – อาคารใหม่ควรสร้างตามมาตรฐานที่รองรับแผ่นดินไหว เช่น การใช้โครงสร้างที่ยืดหยุ่นและมีระบบดูดซับแรงสั่นสะเทือน
  3. การให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติตัวเมื่อเกิดแผ่นดินไหว – ควรมีการฝึกซ้อมรับมือแผ่นดินไหวและเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีเอาตัวรอดเมื่อเกิดเหตุการณ์

ดังนั้น แม้ว่ากรุงเทพมหานครจะไม่ใช่พื้นที่ที่มีรอยเลื่อนมีพลังโดยตรง แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในพื้นที่ใกล้เคียง โดยเฉพาะจากรอยเลื่อนในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้ โครงสร้างทางธรณีวิทยาของกรุงเทพฯ ที่เป็นดินอ่อนยังทำให้แรงสั่นสะเทือนถูกขยายขึ้น ส่งผลให้ตึกสูงและโครงสร้างพื้นฐานในเมืองได้รับแรงกระทบมากกว่าปกติ เพื่อป้องกันผลกระทบจากแผ่นดินไหว ควรมีการออกแบบอาคารให้รองรับแรงสั่นสะเทือน การเสริมความแข็งแรงของโครงสร้างเก่า และการให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติตัวเมื่อเกิดแผ่นดินไหว แม้ว่าโอกาสเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ จะต่ำ แต่การเตรียมพร้อมและการป้องกันล่วงหน้าเป็นสิ่งสำคัญเพื่อความปลอดภัยของประชาชนและโครงสร้างพื้นฐานของเมือง

 

ด้านรองศาสตราจารย์สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ ผู้เชี่ยวชาญธรณีวิทยาแผ่นดินไหว เคยระบุไว้ว่าการออกแบบอาคารให้มีความปลอดภัยต่อแผ่นดินไหว ควรดำเนินการให้สอดคล้องกับความรุนแรงของภัยพิบัติในพื้นที่ โดยในพื้นที่ กทม.ถือว่าไม่ได้อยู่ในบริเวณรอยต่อของแผ่นเปลือกโลก จึงไม่มีความเสี่ยงรุนแรงเหมือนตุรกี ซีเรีย และ ญี่ปุ่น แต่ด้วยลักษณะทางกายภาพของกรุงเทพที่อยู่บนพื้นดินอ่อนจึงส่งผลให้ตึกสูง กทม.อาจได้รับผลกระทบ หรือความเสียหายแม้จะเกิดแผ่นดินไหวในระยะไกล 

 

ด้านศาสตราจารย์นคร ภู่วโรดม อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญโครงสร้างอาคารต้านแผ่นดินไหว ชี้ว่ามี 2 ปัจจัยที่จำทำให้อาคารสูงในกรุงเทพได้รับความเสียหายหากเกิดแผ่นดินไหว คือ 1.ตัวอาคารนั้น ๆ ที่จะมีการตอบสนองต่อแผ่นดินไหว และมีการโยกตัวแตกต่างและ 2. คือ ดินในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นดินอ่อน จึงทำให้ลักษณะความรุนแรงที่เกิดต่ออาคารสูงในกรุงเทพจึงมีความรุนแรงในรูปแบบเฉพาะ ซึ่งต่อมาจึงมีการนำมาสร้างแบบจำลองเพื่อคำนวณค่าแผ่นดินไหวในแต่ละจุด และแบ่งพื้นที่แอ่งกรุงเทพเป็น 10 พื้นที่ย่อย ซึ่งใน 10 พื้นที่จะมีผลกระทบแผ่นดินไหวที่แตกต่างกัน จึงมีข้อแนะนำในการออกแบบตึกที่แตกต่างกัน 

 

ทั้งนี้ในส่วนของอาคารที่ก่อสร้างหลังปี 2550 มีการออกแบบเพื่อต้านแผ่นดินไหวแล้ว ยกเว้นอาคารเก่าที่สร้างก่อนหน้านั้นที่ไม่มีการออกแบบให้รับกับความเสี่ยง แต่ส่วนใหญ่มีการออกแบบเพื่อรับแรงต้านของลม จึงสามารถรองรับเหตุการณ์แผ่นดินไหวได้พอสมควร แต่ไม่สามารถที่จะรับมือได้ดีเท่ากับอาคารที่ออกแบบมาเพื่อรองรับแผ่นดินไหวโดยเฉพาะ โดยอาคารเก่ากลุ่มนี้ ส่วนตัวยังไม่มีข้อมูลว่ามีจำนวนเท่าใด จึงเสนอขอให้สำรวจความเสี่ยงของอาคารเก่า เพื่อป้องกันเหตุที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ที่มาข้อมูล : TNN EARTH

ที่มารูปภาพ : Envato

avatar

สุนิดา สวัสดิพรพัลลภ