
ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย โพสเกี่ยวกับ มาตรการป้องกันหมอกควันข้ามแดนล้มเหลว ประชาชนไทยเสี่ยงภัยจากมลพิษ
ปัญหาหมอกควันข้ามพรมแดนที่ส่งผลกระทบต่อภาคเหนือและภาคอีสานของไทยยังคงรุนแรงต่อเนื่อง แม้มาตรการป้องกันและข้อตกลงระดับภูมิภาคจะถูกกำหนดขึ้น แต่กลับไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างเป็นรูปธรรม
ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย
ในปี 2549 คณะรัฐมนตรีไทยมีมติส่งเสริมการทำเกษตรพันธะสัญญา (Contract Farming) กับประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ พม่า ลาว และกัมพูชา โดยให้สิทธิพิเศษทางภาษีแก่พืชเศรษฐกิจ 8 ชนิด เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งมีการปลูกในพื้นที่ชายแดนอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในพม่า ข้าวโพดเหล่านี้ถูกส่งเข้ามาไทยในปริมาณมาก ทำให้ต้นทุนอาหารสัตว์และเนื้อสัตว์ลดลง อย่างไรก็ตาม หลังการเก็บเกี่ยว เกษตรกรในประเทศเพื่อนบ้านยังคงใช้วิธีเผาตอซังและเศษวัสดุทางการเกษตร ส่งผลให้หมอกควันพัดเข้าสู่ไทยเป็นประจำทุกปี

สรุปข่าว
“ดร.สนธิ” เตือนมาตรการป้องกันหมอกควันข้ามแดนล้มเหลว ประเทศเพื่อนบ้านยังคงเผาตอซัง ส่งผลให้ภาคเหนือและอีสานของไทยเผชิญวิกฤตมลพิษอากาศรุนแรง กระทบสุขภาพประชาชนอย่างหนัก คนไทยเสี่ยงตายทุกคน
แม้อาเซียนจะมีแผนป้องกันหมอกควันข้ามแดน โดยกำหนดเป้าหมาย “อาเซียนปลอดหมอกควันภายในปี 2563” (Transboundary Haze-Free ASEAN by 2020) แต่ข้อตกลงนี้ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย และประเทศสมาชิกยังคงเน้นหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน ส่งผลให้มาตรการควบคุมการเผาล้มเหลว แม้ไทยจะแจ้งเตือนผ่านเลขาธิการอาเซียนเกี่ยวกับจุดความร้อนในประเทศเพื่อนบ้าน แต่หากประเทศเหล่านั้นไม่ดำเนินการ ไทยก็ไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้
เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2568 GISDA รายงานว่าพบจุดความร้อนจำนวนมากในประเทศเพื่อนบ้าน โดยพม่ามีมากที่สุดถึง 2,932 จุด รองลงมาคือ ลาว 1,987 จุด, เวียดนาม 610 จุด, กัมพูชา 520 จุด, และมาเลเซีย 148 จุด ส่วนไทยพบ 799 จุด โดยจังหวัดที่มีจุดความร้อนมากที่สุดคือ แม่ฮ่องสอน (205 จุด)
การเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อแก้ปัญหาหมอกควันข้ามแดนล้มเหลว ขณะที่ไทยเองก็ยังมีจุดความร้อนจำนวนมาก ส่งผลให้หลายจังหวัดในภาคเหนือและอีสานมีคุณภาพอากาศในระดับ “สีแดง” ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างรุนแรง ประชาชนในพื้นที่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากฝุ่นพิษ PM2.5 ซึ่งอาจนำไปสู่โรคทางเดินหายใจ โรคหัวใจ และมะเร็งปอด
ปัญหาหมอกควันข้ามแดนไม่ใช่เพียงปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่เป็นภัยคุกคามต่อชีวิตของประชาชนอย่างแท้จริง จำเป็นต้องมีมาตรการที่เข้มงวดและความร่วมมือที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นระหว่างประเทศ เพื่อหยุดยั้งวิกฤตนี้อย่างถาวร
ที่มาข้อมูล : Sonthi Kotchawat
ที่มารูปภาพ : Sonthi Kotchawat

สุหัชชา สวัสดิพรพัลลภ