
ผลการศึกษาจากรายงานฉบับใหม่ล่าสุดพบว่าคุณภาพอากาศในกรุงลอนดอนของอังกฤษดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากการดำเนินโยบายขยายเขตปล่อยมลพิษต่ำเป็นพิเศษ (Ultra Low Emission Zone หรือ ULEZ) ในปี 2023 ที่ผ่านมา โดยรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษสูงจะถูกเก็บค่าธรรมเนียมวันละ 12.50 ปอนด์ เมื่อเข้ามาในเขตปล่อยมลพิษต่ำ แต่นโยบายนี้ยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมให้กับรถยนต์เบนซินที่มีอายุการใช้งานไม่เกิน 19 ปี และรถยนต์ดีเซลที่อายุการใช้งานไม่เกิน 9 ปี ถนนหลายสายในพื้นที่ดังกล่าวจึงปลอดรถยนต์เก่าที่ปล่อยมลพิษสูง
ตามรายงานยังระบุอีกด้วยว่า ระดับไนโตรเจนไดออกไซด์ทั่วลอนดอนลดลง 27% ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 จากรถยนต์ลดลง 31% ทำให้คุณภาพอากาศของสถานีตรวจวัดดีขึ้นถึง 99% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2019 นอกจากคุณภาพอากาศของลอนดอนดีขึ้นอย่างรวดเร็วแล้ว ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งเป็นตัวเร่งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภาวะโลกร้อนก็ลดลงอย่างมาก ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณที่เทียบเท่าการเดินทางโดยเครื่องบินจากสนามบินฮีทโธรว์ไปนิวยอร์กถึง 3 ล้านเที่ยวบิน

สรุปข่าว
ก่อนหน้านี้ “ซาดิก ข่าน” นายกเทศมนตรีลอนดอนถูกต่อต้านการขยายพื้นที่เขตปล่อยมลพิษต่ำเป็นพิเศษไปยังเขตชานเมืองของลอนดอนอย่างหนัก เนื่องจากแต่หากดำเนินการด้วยนโยบายควบคุมมลพิษเดิมอาจต้องใช้ระยะเวลานานถึง 193 ปี เพื่อให้ลอนดอนมีคุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด ต่างจากนโยบายเขตปล่อยมลพิษต่ำเป็นพิเศษที่ช่วยให้ลอนดอนบรรลุเป้าหมายคุณภาพอากาศได้อย่างรวดเร็ว ช่วยปกป้องสุขภาพของประชาชน ลดความเสี่ยงโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจอีกด้วย
มลพิษทางอากาศส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ทั้งโรคหอบหืด โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง มะเร็งปอด พัฒนาการทางสติปัญหาในเด็กต่ำ สมองเสื่อม ไปจนถึงภาวะคลอดก่อนกำหนดในมารดา ซึ่งที่ผ่านมามลพิษทางอากาศในกรุงลอนดอนเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตจากโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจมากถึง 4,000 คนต่อปี การปรับปรุงคุณภาพอากาศเพื่อปกป้องสุขภาพ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคระบบทางเดินหายใจจึงเป็นเรื่องจำเป็นและเร่งด่วนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน
ที่มาข้อมูล : The Guardian
ที่มารูปภาพ : Reuters