ปรับแผนตั้งรับ ทรัมป์ขึ้นภาษีจีน 10% ดีกว่าคาด - บอนด์ยิลด์ย่อ

นายกันติพัฒน์ วงศ์สุคนธ์  Head of Wealth Advisory  บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า จากการเปิดนโยบายของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ส่งสัญญาณออกมาล่าสุด โดยเฉพาะภาษีการค้าในส่วนของภาษีสินค้านำเข้าถือว่าดีกว่าที่ตลาดคาด (less aggressive) แต่สถานการณ์ปัจจุบันยังไม่สามารถวางใจได้ โดยเฉพาะกับประเทศจีน ถึงแม้สัญญาณที่ออกมาดูเหมือนจะมีการพูดคุย โดยก่อนหน้านี้มีกระแสข่าว รองนายกรัฐมนตรีของจีน ติง เสวี่ยเซียง (Ding Xuexiang) จะซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเพื่อลดการเกินดุลการค้าลง  


ขณะที่ ล่าสุด แนวทางการเก็บภาษีการค้าสหรัฐฯ ทรัมป์จะเก็บกับ แคนาดา และ เม็กซิโกในอัตราร้อยละ 25 และเก็บกับจีนที่ร้อยละ 10 (all Chinese imports อ้างจีนส่ง Fentany| ไปแคนาดา และ เม็กซิโก) ซึ่งเบื้องต้นระบุว่าจะเริ่มบังคับใช้วันที่ 1 ก.พ. 2568 นี้ อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามว่าจะเก็บกับสินค้าอะไรบ้าง รวมทั้งต้องติดตามด้วยว่าทางแคนดากับเม็กซิโกจะขึ้นภาษีใดเป็นการตอบโต้สหรัฐด้วย ซึ่งแคนาดาอาจขึ้นภาษีการส่งน้ำมันและก๊าซไปที่สหรัฐ ซึ่งส่วนนี้อาจส่งผลต่องินเฟ้อเพิ่มขึ้้้นได้ และ เม็กซิโก ก็น่าจะตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าเกษตร แต่เชื่อสหรัฐคงไม่ขึ้นภาษีในอัตราร้อยละ 25 ในทุกสินค้าของแคนาดา และ เม็กซิโก ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นได้ยาก เพราะในแง่ซัพพลายเชนจะกระทบสหรัฐแน่


ส่วนผลต่อภาพการลงทุนในขณะนี้ บลจ.ทิสโก้ มองว่า ตลาดหุ้นเริ่มปรับขึ้นอีกครั้ง หลัง Bond Yield หรือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่เร่งสูงขึ้นเริ่มผ่อนคลายลง เนื่องจาก 1) ตลาดคลายความกังวลจากนโยบายภาษีของทรัมป์ 2) ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่รายงานออกมาน้อยกว่าคาด  ทั้งนี้ ล่าสุด Bond Yield  อายุ 10 ปีของสหรัฐอยู่ที่ร้อยละ 4.6 จากสูงสุดในรอบนี้ปรับขึ้นไปที่ร้อยละ 4.8 นอกจากนี้ ผลดำเป็นงานที่ออกมาของหลายบริษัทจดทะเบียนยังดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารของสหรัฐ 


ดังนั้น ในแง่ของการลงทุนจึงมักแนะนำให้ไปลงทุนไปในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไว้ก่อน เน้นกลุ่มหุ้นคุณภาพสูง (Quality) และกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ เช่น ไฟแนนซ์ (Financial) , เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์  ( Artificial Intelligence หรือ AI) ขณะเดียวกันการกระจายการลงทุนไปยังภูมิภาคอื่นได้ เช่น ลงทุนในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ที่ไม่รวมประเทศจีน (Emerging x China ) หรือ การลงทุนในทองคำเป็นกลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยงในการลงทุนของพอร์ต 


ส่วนปัจจัยเพิ่มเติมที่ที่ต้องจับตาหากทรัมมป์เริ่มขยับไปทำนโยบสยเกี่ยวกับจีน หรือไปกระทบเศรษฐกิจจีน น่าจะเก็นนโยบายการกระตุ้นของรัฐบาลจีนมากขึ้น รวมถึงการรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะบียนในตลาดหุ้นสหรัฐในกลุ่มอื่นๆ รวมไปถึงการพิจารณาปรับดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) หลังเงินเฟ้อเริ่มปรับขึ้นว่าจะปรับขึ้นได้กี่ครั้ง เพราะประเด็นนี้ส่งผลต่อดอลลาร์-เยน และทิศทางการลงทุนด้วย 


สำหรับการจัดพอร์ตการลงทุนจังหวะนี้ การลงทุนในตราสารหนี้สำหรับคนที่ล็อกระดับผลตอบแทนเอาไว้ถือว่าดี ส่วนใครที่จะเข้าลงทุนในตราสารหนี้จังหวะก็ยังพอทยอยสะสมได้ เพราะ Bond Yield ยังต่ำลงมาไม่มากนัก ซึ่งสัดส่วนการลงทุนในพอร์ตสามารถลงได้ระดับร้อยละ 50 ของพอร์ต ส่วนอีกสักร้อยละ 20 ยังมองว่าน่าลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ  เน้นหุ้นกลุ่ม Quality , หุ้นกลุ่ม AI  ,และหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์เซียลก็ยังน่าสนใจ ส่วนอีกร้อยละ 10 ของพอร์ตหุ้นกลุ่มที่ยังไม่ได้ปรับขึ้นมาก (Laggard) ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market หรือ EM) ที่ไม่รวมจีนก็น่าสนใจ เพราะมูลค่าหุ้น (Value) ยังถูกอย่างการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเรา และที่เหลืออีกร้อยละ 10 ยังแนะนำให้แบ่งลงทุนในทองคำที่เริ่มขยับขึ้นมาอีกครั้งจากความต้องการซื้อของธนาคารกลาง ยังมองว่าสะสมได้  

สรุปข่าว